เปิดใจ สาวชูป้าย "หนูถูกครูอนาจาร" กลางม็อบนักเรียนเลว
เปิดมุมมองอีกด้าน ปัญหาการถูกล่วงละเมิดในโรงเรียน ผ่านสายตาของสาวชูป้าย "หนูถูกครูอนาจาร โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย" กลางม็อบนักเรียนเลว 21 พฤศจิกายน
หลังจากม็อบ 21 พฤศจิกายน ของนักเรียนเลว ที่ผ่านมา และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเป็นวงกว้าง เกี่ยวกับน้องนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่มีการถือป้ายระบุข้อความว่า “หนูถูกครูทำอนาจาร โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย”
ล่าสุด วันนี้ (23 พ.ย.63) อีจันมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องหมวย (นามสมมติ) วัย 20 ปี นักศึกษาชั้นปี 3 มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในสังคมตอนนี้
โดยน้องหมวย ได้เปิดใจกับอีจันว่า ชีวิตวัยเด็กของตนก็เหมือนเด็กปกติทั่วไป พ่อแม่เลี้ยงแบบปกติ ครอบครัวมีความสุข ไม่มีอะไรพิเศษไปจากครอบครัวอื่นๆ
โดยก่อนหน้านี้ ตนก็เคยไปร่วมการชุมนุมมาบ้างประปราย ส่วนตัวมองว่า ม็อบนักเรียนเลว เป็นม็อบที่มีการจัดการที่ดี มีการขอพื้นที่การชุมนุมก่อน ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการหยิบยกประเด็นในสังคมมาพูดกันอย่างตรงไปตรงมา บางครั้งก็มีการเสียดสีอย่างมีนัยยะสำคัญ และขอชื่นชมน้องๆ ที่กล้าแสดงออกมากขนาดนี้
เมื่อถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ ณ ขณะนี้ ว่าทำไมวันนั้น (21 พ.ย.63) น้องหมวยถึงเลือกที่จะออกมาบอกว่าตัวเองเคยถูกครูในโรงเรียนทำอนาจาร
น้องหมวย ตอบว่า จริงๆ แล้วตนมีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาประมาณ 2 ปีเเล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำ แค่เรื่องราวของตนเพิ่งได้รับความสนใจจากม็อบเมื่อวันที่ 21 พ.ย. ที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งตนมองว่าทุกการกระทำ จะต้องถูกตั้งคำถามตามมาอยู่เเล้ว หากมีการตั้งคำถาม ตนก็พร้อมที่จะตอบทุกคำถามของสังคม
ส่วนการแสดงออกเช่นนั้น ตนอยากสื่อกับสังคมในเรื่องของปัญหาการถูกคุกคามทางเพศในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการข่มขืน อนาจาร การลวมลาม ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในสังคมไทย แต่คำถามคือ ทำไมปัญหาเหล่านี้ถึงไม่เคยลดน้อยลง ?
ส่วนคำว่า "โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย" ในมุมมองของน้องหมวย คือ ถ้าหากว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยจริงๆ เด็กจะไม่ถูกคุกคามทางเพศในสถานศึกษา หรือถ้าเด็กถูกคุกคาม เด็กจะต้องดำเนินคดีความเอาผิดกับครูได้
ส่วนเหตุการณ์ ที่น้องหมวย บอกว่าตัวเอง โดนกระทำอนาจารจากครูในโรงเรียนนั้น
น้องหมวย เผยว่า กับอาจารย์ท่านนี้ก็รู้จักและสนิทกันมานาน ซึ่งตอนนั้นตนอยู่ ม.5 จำเป็นต้องอยู่ที่โรงเรียนดึก ต้องใช้ห้องซ้อมเพื่อประกวด และต้องใช้ห้องน้ำตอนกลางคืน ซึ่งในคืนนั้น ฝนก็ตก ตนจำเป็นต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ครูคนนี้ไปเข้าห้องน้ำ แต่ครูก็มีการขับรถแบบแกล้งเบรกบ่อยครั้ง จนทำให้หน้าอกไปชนหลัง เมื่อมีการเข้าห้องน้ำ ครูก็แกล้งเปิด-ปิดไฟ จนตนตกใจถึงกับร้องไห้ ครูคนนี้ก็เข้ามากอดปลอบและขอโทษ โดยบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจขนาดนี้ ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ เธอถูกครูคนนี้ลูบขาตอนขับรถไปส่งบ้าน
น้องหมวย ยอมรับว่า ทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เธออึดอัดมาก ไม่สบายใจ แต่ก็พยายามคุยปกติ พยายามที่จะไม่คิดมาก คิดว่าสิ่งที่ครูทำทั้งหมด คงเป็นเพราะ ความเอ็นดู ที่ครูมีต่อศิษย์ ไม่ได้คิดว่า ครูมีเจตนาไม่ดี
ส่วนเหตุการณ์สุดท้ายที่เธอถูกครูคนนี้ทำอนาจาร คือ เธอพยายามจะปิดล็อกประตูห้องน้ำ หลังจากเข้าเสร็จเเล้ว เเละครูก็มีการเข้ามาช่วยล็อก แต่ครูพยายามจะโอบกอดเธอจากด้านหลัง มีการจับมือ ตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ถูก ได้เเต่ยืนตัวแข็ง จนอยากร้องไห้
ซึ่งเรื่องของการทำอนาจารภายในโรงเรียนที่เกิดขึ้น มีเพียงหลักฐานเดียว คือ คำบอกเล่าจากปากของน้องหมวย
โดยเธอให้เหตุผลว่า เธอไม่กล้าที่จะบอกใครว่าเธอเจอกับอะไรมา พยายามปิด ไม่ให้ใครรู้ เพราะ ความกลัว เเละความอาย ตอนนั้นเธอคิดว่า คนผิดในเรื่องนี้ คือตัวเธอเอง
กลัวครอบครัวจะอาย ไม่อยากให้เป็นประวัติที่ไม่ดีในชีวิต “เพราะครอบครัวคือโลกทั้งใบ อะไรที่ทำให้ครอบครัวไม่สบายใจ หนูจะไม่ทำ” น้องหมวยกล่าว
เมื่อเธอโตขึ้น สุดท้าย เธอจึงได้เรียนรู้ว่า คนถูกกระทำ ไม่ใช่คนผิด
แต่การกระทำเหล่านั้น มันกลับส่งผลกระทบต่อเธอ มาจนถึงปัจจุบัน น้องหมวยบอกว่า เธอป่วยเป็นโรค PTSD เเละ Panic disoder ซึ่งจากอาการเหล่านี้ ทำให้เธอไม่สามารถที่จะเรียนอยู่ในโรงเรียนแล้วรู้สึกปลอดภัยได้เลย จนเธอต้องเข้ารับการรักษาอาการเหล่านี้ เกือบ 2 ปี ซึ่ง ณ ตอนนี้อาการต่างๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากที่เธอเปิดเผยเรื่องนี้ในโลกโซเชียล ก็มีคนออกมาบอกกับเธอจำนวนหนึ่งว่า ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว ที่ถูกครูในโรงเรียนเดียวกันกระทำอนาจารแบบนี้
ส่วนระบบการศึกษาไทย น้องหมวย มองว่า ต้องแก้กันตั้งแต่สถาบันครอบครัว โรงเรียน ภาครัฐ รวมถึงสื่อ เราควรสอนให้เด็กรู้จักสิทธิของตัวเอง และไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น
ซึ่งเรื่องการแก้ปัญหานี้ ภาครัฐต้องออกมาแก้ปัญหาเป็นคนแรก เพราะเด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศนี้ อยู่ในความดูแลของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐ หรือของเอกชนก็ตาม
ส่วนกระแสสังคมตอนนี้ ที่มีทั้งออกมาปกป้องเเละไม่เห็นด้วยกับการกระทำของน้องหมวย
น้องหมวย ตอบว่า ขอบคุณคนที่ออกมาปกป้องตนเอง และขอบคุณที่เคารพความเป็นเพื่อนมนุษย์ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย น้องหมวย มองว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่ตนพูด จนเกิดการตั้งคำถาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ตนมองมากไปกว่านั้นคือ ถ้าอนาคตมีเด็กที่โดนกระทำแบบเดียวกับตน เด็กเหล่านั้นจะไปแจ้งหรือปรึกษาใคร
เมื่อถามถึงประเด็น ที่มีภาพว่าน้องหมวยเคยถ่ายแบบชุดนักเรียน วาบหวิว แต่กลับออกมาเรียกร้องเรื่องการถูกล่วงละเมิดในโรงเรียน ซึ่งสังคมกำลังมองว่า เด็กสาวคนนี้มีความย้อนแย้งในตัวเอง
น้องหมวย ตอบว่า รับงานถ่ายแบบตั้งแต่ช่วงจบมัธยมปลายแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้หญิงแต่งตัวเรียบร้อย แต่พอมาตอนนี้ ตนมองว่า ไม่ว่าเราจะแต่งตัวแบบไหน เครื่องแต่งกายไม่เคยลดทอนคุณค่าความเป็นเรา และไม่ว่าผู้หญิงจะแต่งตัวแบบไหน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะมาคุกคามทางเพศคนอื่นได้
หากเราจะแต่งตัวเซ็กซี่ แล้วไม่ละเมิดกฎหมายข้อไหน มันก็ไม่น่าจะผิด ส่วนตัวมองว่า เรื่องการแต่งตัวแบบนี้ มันอยู่ที่กาลเทศะมากกว่า
ส่วนเรื่องคุณเอ๋ ปารีณา ที่จะแจ้งความ น้องหมวย บอกว่า ต้องขอขอบคุณ คุณเอ๋ ที่ให้ความสนใจและอยากมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจัง โดยตนหวังว่าจะพบข้อเท็จจริงอื่นเพิ่มอีก
ส่วนที่ตนพิมพ์ขอความช่วยเหลือทางทนายผ่านเฟซบุ๊ก ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่
ตอนนี้อยากให้สังคมยุติ การโทษเหยื่อ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ควรตั้งคำถามกับผู้กระทำ เเละกระบวนการต่างๆ ในการเอาผิดมากกว่า เผื่อจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง มากกว่าการมาตั้งคำถามกับเหยื่ออยู่แบบนี้