เปิดใจ นางแบบสาวถือป้ายกลางม็อบ "หนูโดนรุมโทรม" แฟนหนุ่มสงสารหวั่นคิดสั้น

เปิดใจ นางแบบสาวถือป้ายกลางม็อบ "หนูโดนรุมโทรม" แฟนหนุ่มสงสารหวั่นคิดสั้น

เปิดใจ นางแบบสาวถือป้ายกลางม็อบ "หนูโดนรุมโทรม" แฟนหนุ่มสงสารหวั่นคิดสั้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (6 ธ.ค.) เมื่อเวลา 21.30 น. น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี นักศึกษาสาวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายล่อลวงไปรุมโทรมขืนใจที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี และออกไปยืนชูป้ายเพื่อขอความเป็นธรรมในม็อบแยกลาดพร้าว พร้อมแฟนหนุ่มยอมเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้สื่อข่าว หลังกลับมาจากการเดินทางไปเยียวยาฝันร้ายที่ต่างจังหวัด

โดย น.ส.เอ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุแล้วตนเคยเดินทางไปร้องเรียนกับทางมูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งทางมูลนิธิก็ให้ตนไปเขียนคำร้องไว้ และสอบถามเพียงนิดหน่อยก่อนจะให้ตนกลับบ้านมา ซึ่งหลังจากนั้นคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงแรมในจังหวัดนนทบุรีไม่ใช่เกิดในกรุงเทพ ระหว่างวันที่ 18-20 พ.ย.63 ซึ่งเป็นโรงแรมที่เดียวกันกับครั้งล่าสุด แต่เนื่องจากในครั้งแรกนั้นตนเองถูกวางยาในเครื่องดื่ม ทำให้เบลอๆ และจำได้เพียงลางๆ เท่านั้น และตนเพิ่งเคยมาที่โรงแรมนี้ครั้งแรกโดยไม่เคยรู้จักผู้ก่อเหตุมาก่อน 

น.ส.เอ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าพนักงานโรงแรมกับผู้ก่อเหตุมีความสนิทสนมกัน เพราะผู้ก่อเหตุให้ทิปและซื้อของให้พนักงาน ส่วนเรื่องที่ตนเดินออกไปซื้อของกับผู้ก่อเหตุในคืนนั้นเพราะถูกข่มขู่ว่าอย่าทำตัวให้มีพิรุธจึงต้องทำไปเพราะถูกบังคับ และการที่พนักงานโรงแรมปล่อยให้ผู้ชาย 5 คน เข้าไปเปิดห้อง 408 ที่อยู่ติดกันได้เหมือนรู้เห็นเป็นใจ ตรงกับที่ผู้ก่อเหตุเคยขู่ตนไว้ว่า พนักงานของโรมแรมและคนแถวนี้เป็นพวกเขาทั้งหมด

น.ส.เอ กล่าวอีกว่า ที่ตนตัดสินใจรับงานนี้ เพราะคิดว่าเป็นแค่งานถ่ายแบบเซ็กซี่เท่านั้น และค่าตัวที่ผู้ก่อเหตุเสนอมาให้เป็นจำนวนเงิน 5 แสนบาท ซึ่งก็ถือว่าสูงและดึงดูดให้ตนยอมตกลงรับงานนี้ แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งจนถึงวันนี้ตนก็ยังไม่ได้ค่าตัวเลยแม้แต่บาทเดียว ซ้ำยังถูกข่มขู่แบลค์เมล ให้ต้องทำตามทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นจะถูกทำร้ายและปล่อยภาพลับ

ส่วนเรื่องที่ต้องเดินทางไปเพชรบุรีกับผู้ก่อเหตุอีก 2 คนนั้น เพราะผู้ก่อเหตุทั้งล่อลวงทั้งขู่บังคับว่าให้ตนไปถ่ายให้จบ แล้วจะได้รับเงินก้อนทั้งหมดเมื่อจบงาน ตนจึงจำต้องไปต่อ จนกระทั่งวันทีเดินทางกลับและผู้ก่อเหตุจอดรถซื้อของที่สมุทรสงคราม ซึ่งสภาพจิตใจตนเองในตอนนั้นไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจหลบหนี เพราะเป็นจังหวะที่จอดรถใกล้ตลาดและมีผู้คนเดินอยู่เยอะมาก จึงตัดสินใจหนีและวิ่งแฝงไปในกลุ่มผู้คนเพื่อให้ผู้ก่อเหตุหาไม่เจอ จากนั้นก็นั่งรถประจำทางกลับมา

น.ส.เอ กล่าวต่อว่า ในตอนที่ถูกบังคับไปต่างจังหวัดนั้น ผู้ก่อเหตุให้ตนเองติดต่อแฟนและทางบ้าน โดยทางโทรศัพท์ให้คุยแบบเปิดลำโพงและนั่งคุมตนเองอยู่ข้างๆ โดยข่มขู่ให้ตนเองบอกกับแฟนว่า มาทำงานต่างจังหวัด ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งตนก็ได้พยายามพูดขอความช่วยเหลือจากแฟนทางอ้อมแล้วแต่แฟนไม่เข้าใจ

หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว ตนนั่งรถผ่านแยกลาดพร้าวที่มีการชุมนุมพอดี เป็นวันที่ตนเองหมดศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมและไม่รู้จะไปพึ่งพาใคร ประกอบกับว่าเคยเห็นมีคนมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมในม็อบลักษณะนี้ ตนจึงตัดสินใจลงจากรถไปร้านสะดวกซื้อ แลวซื้ออุปกรณ์มาเขียนข้อความไปยืนชูป้ายในม็อบเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

น.ส.เอ กล่าวยืนยันอีกว่า ตนจำหน้ากลุ่มผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมดทั้งคนที่ใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง และตนยังมีหลักฐานการโอนเงินให้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุที่แบล็กเมลข่มขู่ให้ตนโอนเงินให้อีกจำนวน 1,500 บาท จนทราบชื่อจริงของผู้ก่อเหตุ 

หลังผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา สภาพจิตใจตอนนี้ของตนย่ำแย่มากผวา นอนไม่หลับ จิตตก กลัวมีคนมาทำร้าย ตนเคยพยายามฆ่าตัวตายหลายรอบแล้วแต่ก็ได้แฟนหนุ่มช่วยห้ามช่วยปลอบใจไว้ จนทุกวันนี้ตนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

น.ส.เอ กล่าวยืนยันอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้อง 408 วันนั้น ตนถูกผู้ก่อเหตุล่อลวงและใช้กำลังทำร้าย และบังคับให้ตนมุดรอดจากห้อง 409 เข้าไปยังห้อง 408  ที่มีกลุ่มผู้ชาย 5 คน ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ก่อเหตุกำลังมั่วสุมเสพยาและน้ำกระท่อมอยู่ในห้อง หลังตนถูกจิกหัวเข้าไปในห้องแล้ว ตนถูกบังคับให้ดื่มน้ำกระท่อมแต่ตนไม่ยอมดื่ม จึงถูกชกเข้าที่ท้องและถูกจับทุ่มลงบนเตียง จากนั้นก็ถูกชายในห้องทั้งหมดเข้ามารุมโทรมโดยที่ตนขัดขืนไม่ได้

ตนอยากให้ผู้ก่อเหตุทั้งหมดได้รับโทษในสถานหนัก ซึ่งตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แม้จะกลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเราเป็นใคร กลัวพ่อแม่อับอาย กลัวอาจารย์และเพื่อนรู้ แต่ตนก็จะไม่ยอมให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไปสร้างความเลวร้ายให้กับใครอีก เพราะตนเคยเห็นในคลิปโทรศัพท์มือถือว่ามีหญิงสาวตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุอีกหลายคน 

น.ส.เอ กล่าวทิ้งท้ายว่า อาชีพนางแบบไม่ใช่การขายบริการ เป็นงานสุจริตไม่ได้ขายตัว แม้ว่านางแบบจะใส่บิกินี่ถ่ายแบบก็ตาม ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะไปใช้กำลังบังคับข่มขืน ละเมิดสิทธิของคนอื่น อยากให้เหตุการณ์ของตนเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าหลงใหลไปกับจำนวนเงินตัวเลขที่มีคนเสนอให้มาเยอะๆ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะรับงาน ว่าเป็นช่างภาพมืออาชีพ มีชื่อเสียง มีผลงานไหม อย่าเห็นแก่เงิน แบบตนที่อยากได้เงิน 5 แสนบาท จากปกติที่เคยได้รับหลักหมื่น ทำให้ตัดสินใจรับงานไปไม่รอบคอบ เพียงเพราะตนอยากได้เงินเพื่อไปจ่ายค่าเทอมและส่งให้ครอบครัวเท่านั้น    

ทางด้าน แฟนหนุ่มของ น.ส.เอ เปิดเผยว่า หลังตนได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตนโกรธมาก อยากจะตามฆ่าตนเหล่านี้ให้หมด แต่แฟนได้ห้ามเอาไว้ เพราะก่อนนี้ตนได้เคยเตือนแฟนสาวมาก่อนหน้านี้แล้วเรื่องการรับงานว่าเสี่ยงและอันตราย แต่เนื่องจากฐานะครอบครัวของแฟนและต้องหาเงินส่งตัวเขาเรียนตนจึงไม่ได้ห้ามอีกได้ แต่คอยช่วยเหลือขับรถไปส่งเวลาทำงาน

ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับแฟนตน แต่มันรุนแรงเกินกว่าคนทั่วไปจะรับได้ แต่ตนกลับสงสารแฟนสาวและมองว่าแฟนสาวเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่เต็มใจ เป็นผู้เสียหายซึ่งเขายังมีศักดิ์ศรีความเป็นคนอยู่ และตนมองเห็นความสำคัญตรงจุดนี้มากกว่า ก็ได้แต่ดูแลให้กำลังใจกันไป

ทุกวันนี้ได้แต่กังวลเฝ้าระวังว่าแฟนสาวกลายเป็นโรคซึมเศร้า จะปล่อยให้อยู่ตามลำพังไม่ได้ แม้แต่การเข้าห้องน้ำตามลำพังหรือ เดินบนถนนคนเดียว เพราะเกรงว่าเขาอาจจะคิดสั้นตัดสินใจทำอะไรได้ทุกเวลา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook