เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์-ไบรท์ เข้ารับทราบข้อหา ม.112 มวลชนแห่เป็นกำลังใจล้นโรงพัก
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 8 ธ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี ได้มี 4 แกนนำคณะราษฎร ได้แก่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ,นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ,น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำกลุ่มคณะราษฎร และ นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบรท์ แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่ นนทบุรี เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ม.112 กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี โดยมีมวลชน ทั้งกลุ่ม นปช.และกลุ่มราษฎร เดินทางมาให้กำลังใจกันอย่างคับคั่ง แน่นสถานีตำรวจเมืองนนทบุรี เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ของแกนนำคณะราษฎร 2563 จำนวน 3 คดี ของ 4 แกนนำที่เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา หลังจากมีการชุมนุม "คนนนท์ไม่ทนเผด็จการ" ที่บริเวณท่าน้ำนนทบุรี เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา
โดยทางกลุ่มได้ใช้รถเครื่องขยายเสียง 2คัน ทำเป็นเวทีเคลื่อนที่ชั่วคราว จอดที่บริเวณด้านหน้าทางเข้าของสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี พร้อมมีการสลับเปลี่ยนกันขึ้นปราศัย ของนักศึกษาและประชาชน คือแกนนำ ในการพูดกล่าวโจมตีไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลใช้ม.112 กับแกนนำผู้เห็นต่างในการพูดความจริงเกี่ยวกับเบื้องสูง
นายพริษฐ์ เปิดเผยว่า ถ้าตามขั้นตอนในกระบวนกฎหมายและยุติธรรม ตำรวจต้องไม่ส่งเราฝากขัง ก่อนหน้านี้ทางทีมงานทนายได้รับการติดต่อจากทางตำรวจว่า จะมีการส่งตัวพวกเราไปฝากขัง เมื่อทางเราประกาศให้มวลชนทราบทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้ทาง พ.ต.อ.สีหเดช สระกอบแก้ว ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ได้ออกมาชี้แจงว่าจะไม่มีการส่งตัวฝากขัง วันนี้ก็ต้องดูกัน ขอให้ทุกคนเฝ้าจับตาดูว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเล่นตุกติกอะไรกับพวกเราหรือไม่ การแจ้งข้อหามาตรา 112 เพิ่มกับพวกเราในวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำต่อตัวเรา แต่คือการกระทำต่อราษฎร ที่ต้องการยกเลิกมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบัน
นายภาณุพงศ์ กล่าวว่าการใช้มาตรา 112 กับกลุ่มแกนนำ ซึ่งมาตรา 112 ในหลักสากลไม่มี และเราก็เห็นแล้วว่าการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือปฏิรูปสถาบัน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลใช้สถาบันเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งประชาชน ในการตั้งข้อหากับพวกเรา เราไม่ได้มีความกังวลใจใดๆ สิ่งที่พวกเราพูดเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังไม่ได้เท่านั้น จึงตั้งข้อหากับพวกเรา นับตั้งแต่มีการชุมนุมทำไมเพิ่งจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา 112 กับพวกเรา ในวันนี้ ทั้งๆที่เรื่องผ่านมาเป็นเดือนแล้ว มาตรา 112 จึงเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกลั่นแกล้งกับผู้มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง
น.ส.ปนัสยา กล่าวว่า มาตรา 112 ถ้ามองตามความเป็นจริงก็คือกฎหมายหมิ่นประมาท แต่แค่มันเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ จริงๆแล้วมันไม่จำเป็นที่จะะต้องมีกฎหมายพิเศษขึ้นมาเลย สถาบันพระมหากษัตริย์ควรใช้กฎหมายตัวเดียวกับประชาชน ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายตัวนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด เพราะอย่างนั้นก็จะเป็นเหมือนทุกวันนี้ว่าใครก็สามารถแจ้งความ 112 กับใครก็ได้ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่ามีใครเดือดร้อนแทนอยู่ จึงควรให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ถ้าจะมีการใช้กฎหมายหมิ่นประมาท ก็ใช้มาตราเดียวกันกับประชาชนเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ขณะที่ เพนกวิน กล่าวเสริมว่า การใช้มาตรา 112 เพื่อการกลั่นแกล้งทางการเมือง ผมเองเป็นหนึ่งคนที่ถูกแจ้งข้อหา ม.112 ก่อนใครเพื่อน ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม ที่มีใครก็ไม่รู้และหลายคนจากจังหวัดไหนก็ไม่รู้มาแจ้งข้อหาผมอยู่จังหวัดตรังบ้าง เลยบ้าง หรือที่จังหวัดพิษณุโลก ผมสังเกตว่าเกือบทุกครั้ง ผู้ที่มาแจ้งความกับเราเป็นคนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงอยากให้พิจารณาว่านี่เป็น หลักฐานการกลั่นแกล้งกันทางการเมืองหรือไม่ เพราะพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีที่มาแบบไหน ตั้งมาเพื่ออะไร การกลับมาใช้มาตรา 112 อีกครั้ง เป็นมาตราที่ไม่มีความเป็นธรรมตั้งแต่แรก ที่ไม่ควรใช้ตั้งแต่แรก นานาอารยประเทศเขาไม่ใช้กัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะเสียขบวนหรือไม่ เมื่อแกนนำถูกดำเนินคดีไปหลายคน นายพริษฐ์ ตอบว่าไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวโดยภาพรวม ถ้าจะส่งผลกระทบก็คงมีอย่างเดียว คือคนคงจะออกมามากขึ้น ส่วนการเคลื่อนไหวเวลานี้เป็นช่วงที่นักศึกษากำลังสอบ ขอให้เพื่อนๆสอบเสร็จก่อน แต่ระหว่างนี้เราก็จะมีกิจกรรมอยู่เรื่อยๆอย่างเช่น วันที่ 10 ธ.ค. กลุ่มธรรมศาสตร์ จัดเสวนาช่วงเย็นที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม ยกเลิกมาตรา 112 ชื่องาน "ยกเลิก 112 สิแล้วเราจะเล่าให้ฟัง" นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมของกลุ่มสหภาพแรงงานยกเลิกมาตรา 112 ที่หน้าสหประชาชาติ และกลุ่ม สิทธิผู้พิการ จัดการชุมนุมที่หน้ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เมื่อถามถึงกลุ่ม RT MOVEMENT ที่เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 นายภาณุพงศ์ กล่าวว่า แต่ละกลุ่มมีจุดยืนของตัวเอง เพราะฉะนั้นเรามาจากหลากหลายกลุ่มที่มารวมกันในกลุ่มราษฎร แต่ละกลุ่มก็มีแคมเปญของแต่ละกลุ่ม สุดท้ายไม่ว่ากลุ่มไหนจะมีแคมเปญอะไรจุดมุ่งหมายก็คือประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เหมือนกีฬาสี มีหลายสีแต่สุดท้ายปลายทางเราก็เดินไปในขบวนเดียวกัน ส่วนสัญลักษณ์คล้ายๆ ลัทธิคอมมิวนิสต์ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทุกคนมีความคิด เขาอาจจะไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์ก็ได้ สุดท้ายเมื่อเราเรียกร้องสำเร็จประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์สิทธิเสรีภาพต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามเรายังยึดหลัก 3 ข้อที่เคยพูดกันมา
จากนั้นทั้งหมดเข้ารับทราบข้อหาที่ห้องประชุมผิวพรรณ พร้อมกับชู 3 นิ้วอีกครั้ง โดยนายพริษฐ์ กล่าวว่า แล้วเราจะออกมา
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ