เผยอภิมหาเศรษฐีมะกันหลุดโผ32ราย บิล เกตส์ ยังรวยสุด
ฟอร์บส์ เผยทรัพย์สินรวมของอภิมหาเศรษฐีอเมริกันลดลง 300,000 ล้านดอลลาร์ แค่ปีเดียว เหตุเจอพิษวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลหลุดโผถึง 32 ราย บิล เกตส์ ยังรวยสุด ส่วน วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ๊งมากที่สุด ปีเดียวเงินหายไปถึง 10,000 ล้านดอลล์ ชี้ฉ้อโกง-หย่าร้าง มีส่วนให้รวยน้อยลง
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์ รายงานว่า นิตยสารฟอร์บส์ ของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลการจัดอันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา 400 อันดับแรก หรือที่เรียกว่า ฟอร์บส์ 400 ซึ่งวัดมูลค่าของทรัพย์สินที่อภิมหาเศรษฐีแต่ละคนมีจนถึงวันที่ 10 กันยายน ปี 2552 นี้ ปรากฏว่าโดยรวมแล้วอภิมหาเศรษฐีอเมริกันรวยน้อยลงมากถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ จากปัญหาวิกฤตในตลาดทุน ตลาด เงิน และการที่มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ลดลง นอกเหนือจากปัจจัยสำคัญอื่นๆ อาทิ การฉ้อโกงกันในธุรกิจการเงินและการหย่าร้าง ซึ่งมีตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนในกรณีของนายโอมิด คอร์เดสตานี ที่ทำงานให้กับกูเกิ้ลจนกลายเป็นมหาเศรษฐีแต่หลุดรายชื่อในปีนี้เพราะต้อง แบ่งทรัพย์สินหลังการหย่าร้าง
ทั้งนี้ในรายชื่อผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา 10 อันดับแรก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆจากปีที่ผ่านมา แต่มูลค่าทรัพย์สินของทุกคนลดลงเหมือนกันหมดยกเว้น นายลอว์เรนซ์ เอลลิสสัน ผู้ก่อตั้งบริษัท ออราเคิล คอร์ป. บริษัททางด้านไอทีที่มูลค่ารวมของทรัพย์สินไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ นายบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ ยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจซอฟต์แวร์ ยังคงเป็นอภิมหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีทรัพย์สินรวม 50,000 ล้านดอลลาร์ แต่มูลค่าทรัพย์สินลดลง 7,000 ล้านดอลลาร์ จากการสำรวจเมื่อปี 2551 อันดับที่ 2 คือ นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักการเงินเจ้าของบริษัทโฮลดิ้ง เบิร์กเชียร์ แฮธเวย์ ที่ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา จนทำให้นายบัฟเฟตต์ กลายเป็นเศรษฐีที่เงินหายไปมากที่สุดใน 10 รายชื่อของฟอร์บส์ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงมาอยู่ที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนเอลลิสสันอยู่ที่อันดับ 3 ด้วยทรัพย์สิน 27,000 ล้านดอลลาร์
อันดับ 4 ถึงอันดับที่ 7 เป็นทายาทตระกูลวอลตัน เจ้าของกิจการค้าปลีกใหญ่ที่สุดของสหรัฐและของโลกอย่างวอลมาร์ท โดยมีทรัพย์สินอยู่ระหว่าง 21,500 ล้านดอลลาร์ ถึง 19,000 ล้านดอลลาร์ อันดับ 8 คือนายไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก 2 สมัยที่กำลังเตรียมลงเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 มีทรัพย์สินรวม 17,500 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจากกิจการสำนักข่าวและศูนย์ข้อมูลทางธุรกิจที่ใช้ชื่อสกุลเป็น ชื่อบริษัท ปิดท้ายใน 10 อันดับแรกด้วย 2 พี่น้องตระกูล คอช คือ ชาร์ลส์ คอช และ เดวิด คอช ซึ่งดำเนินกิจการการผลิตและกิจการด้านพลังงาน มูลค่าทรัพย์สินรายละ 16,000 ล้านดอลลาร์ นายแมทธิว มิลเลอร์ บรรณาธิการผู้จัดทำฟอร์บส์ 400 ระบุว่า ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เริ่มมีการตรวจสอบทรัพย์สินเศรษฐีอเมริกันในปี 2525 เรื่อยมาที่ทรัพย์สินรวมของเศรษฐีในรายชื่อฟอร์บส์ 400 ลดลง ทั้งนี้ ในจำนวน 400 คน ที่อยู่ใรายชื่อปีนี้ มีมากถึง 314 คน ที่รวยน้อยลง ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินต่ำที่สุดที่จะทำให้ติด 1 ใน 400 รายชื่อ ลดลงจาก 1,300 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วเหลือเพียง 950 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
ทั้งนี้มีผู้ที่ถูกโละออกจากรายชื่อฟอร์บส์ 400 ปีนี้มากถึง 32 ราย ในขณะที่มีเศรษฐีหน้าใหม่โผล่เข้ามาติดอยู่ในรายชื่อปีนี้เพียง 19 รายเท่านั้นเองแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการทำธุรกรรมฉ้อฉลจะทำให้เศรษฐี อเมริกันมีเงินน้อยลงเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ก็ทำให้หลายคนมั่งคั่งขึ้นจากการนี้ ซึ่งรวมทั้ง เจฟฟรีย์ พิโคเวอร์ นักลงทุนในตลาดทุนซึ่งกำลังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมในคดีการทำธุรกรรมฉ้อฉลของ นายเบอร์นาร์ด มาดอฟฟ์ โดยถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยขึ้นจากธุรกรรมทำนองแชร์ลูกโซ่ดังกล่าวอย่างน้อย 5,000 ล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีใหม่ของฟอร์บส์ 400 ในขณะที่แอนดรูว์ บีล เศรษฐีหน้าใหม่อีกรายก็มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จากการเข้าไปซื้อหนี้เน่าและทรัพย์สินต่างๆ ในช่วงผันผวนทางการเงินที่ผ่านมาผู้ที่ถูกเขี่ยออกจากรายการนั้น รวมถึง นายแซนฟอร์ด วีล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของซิตี้กรุ๊ป, นายอัลเลน สแตนฟอร์ด ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีธุรกรรมฉ้อฉลและกำลังติดคุกอยู่ในรัฐเท็กซัสในเวลานี้ เป็นต้น
บรรณาธิการฟอร์บส์ ซึ่งเปรียบเปรยสภาพการรวยน้อยลงของบรรดามหาเศรษฐีทั้งหลายครั้งนี้ว่าเป็น สภาพนองเลือด ในหมู่อภิมหาเศรษฐี กล่าวว่า ตนเชื่อว่าคงไม่มีใครเสียน้ำตาสงสารคนเหล่านี้แน่นอน เพราะแม้แต่เศรษฐีที่เคยมีเงิน 2,000 ล้าน เมื่อปีที่แล้วและเงินลดลงมาเหลือเพียง 100 ล้าน ในปีนี้ก็ยังสามารถใช้ชีวิตหรูเลิศได้แบบสบายๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือการที่อภิมหาเศรษฐีที่อยู่ในรายชื่อทั้ง หลายเหล่านี้ เป็นผู้กุมชะตากรรมของคนทำงานมากมายหลายพันหลายหมื่นตำแหน่ง ซึ่งทำให้การที่คนเหล่านี้รวยน้อยลงกลายเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับคนเดินดินทั่ว ไปตามไปด้วย ด้วยความเป็นไปได้ที่ว่าถ้าเศรษฐีเหล่านี้จนลงก็จะบีบให้คนทั่วไปยากจนตามลง ไปด้วยนั่นเอง