บูโร ชี้ปีหน้าแบงก์เริ่มคลายกฎปล่อยสินเชื่อ

บูโร ชี้ปีหน้าแบงก์เริ่มคลายกฎปล่อยสินเชื่อ

บูโร ชี้ปีหน้าแบงก์เริ่มคลายกฎปล่อยสินเชื่อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เครดิตบูโรมั่นใจเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แบงก์พร้อมคลายกฎเหล็กปล่อยสินเชื่อ ผู้กู้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือที่รู้จักกันในนาม เครดิตบูโร เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น อาจส่งผลให้สถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายกฎเหล็กในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ที่เศรษฐกิจชะลอตัว สถาบันการเงินต่างๆ มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเป็นอย่างมาก ทำให้หลายโครงการมียอดขายตีกลับสินเชื่อในสัดส่วนที่สูงมาก

สำหรับการยื่นขอกู้สินเชื่อต่างๆ หากผู้ยื่นกู้เตรียมพร้อมด้านเอกสาร มีรายได้ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด และมีประวัติการชำระเงินที่ดีในรอบ 36 เดือนที่ผ่านมา โดยฐานรายได้ที่สามารถยื่นกู้ได้นั้น ผู้กู้จะต้องมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 7,000 บาทต่อเดือน จึงจะเริ่มต้นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท

ด้านการรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินต่างๆ ยืนยันว่าการรายงานเป็นไปตามข้อเท็จจริงย้อนหลังไป 36 เดือน โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้ข้อมูลว่า แม้ว่าลูกค้าได้เคลียร์บัญชีกับสถาบันการเงินต่างๆ แล้ว แต่ยังมียอดค้างชำระส่งรายงานไปยังเครดิตบูโรอยู่ ทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านกู้ไม่ผ่านนั้น เป็นเพราะการรายงานข้อมูลเครดิตจากทางสถาบันจะส่งข้อมูลให้ทุกวันที่สิ้นเดือนเท่านั้น หากลูกค้าไปชำระยอดแล้ว และต้องการให้ข้อมูลเครดิตบูโรรายงานทันทีนั้น บางครั้งจะเป็นไปได้ยาก อาจจะต้องใช้เวลารออย่างน้อย 15 วันหลังจากสิ้นเดือน

"ระบบจะไม่สามารถรายงานได้แบบเรียล ไทม์ เนื่องจากจำนวนบัญชีลูกค้าที่ต้องดูแลมีมากถึง 60 ล้านบัญชี จากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกอยู่ 80 สถาบันการเงิน"

อย่างไรก็ตาม นายสุรพล กล่าวว่า ระบบข้อมูลต่างๆ จะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับความต้องการของผู้ที่ยื่นขอข้อมูลเครดิตบูโร โดยปัจจุบันมีผู้ขอใช้บริการตรวจสอบข้อมูลเครดิตอยู่ที่ 16,000 คนต่อเดือน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงแรกที่เปิดบริษัทฯ มาในช่วงปี 2540 ที่มีผู้ขอใช้บริการตรวจสอบข้อมูลเครดิตอยู่เพียง 3,000 คนต่อเดือนเท่านั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook