เทนเนสซีรั้งตำแหน่งศูนย์กลางระบาด COVID-19 แห่งใหม่ของสหรัฐฯ
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา เฉลี่ยคิดเป็น 128 คน ต่อจำนวนประชากร 100,000 คน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบรรดารัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ ในขณะที่แคลิฟอร์เนียมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่โดยเฉลี่ยมากเป็นอันดับ 2 คิดเป็น 111 คน ต่อจำนวนประชากร 100,000 คน
บิลล์ ลี ผู้ว่าการรัฐเทนเนสซี ประกาศผ่านทวิตเตอร์ ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและรวมตัวกันเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า สาเหตุที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นครั้งล่าสุดนี้ น่าจะมาจากการที่ชาวอเมริกันเดินทางและพบปะกันในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ 31 รัฐ มีการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเดือนธันวาคม ขณะที่ยอดผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 194,600 ราย
CDC ระบุว่า เมื่อช่วงเช้าวันพุธที่ผ่านมา มีผู้ป่วยได้รับวัคซีน COVID-19 แล้วกว่า 1 ล้านคน ทว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่อาจจะต้องรอวัคซีนเป็นระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป เนื่องจากต้องมีการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้รับก่อน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา และผู้ป่วยที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ
อย่างไรก็ตาม อิลฮาน โอมาร์ ส.ส. มินเนโซตา จากพรรคเดโมแครต ได้วิพากษ์วิจารณ์เหล่าผู้นำทางการเมือง ที่จัดให้ตัวเองอยู่ในกลุ่มแรกๆ ที่จะได้รับวัคซีน โดยเธอกล่าวว่า นักการเมืองไม่ได้มีความสำคัญมากไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติงานในแนวหน้า และครู ซึ่งเสียสละตัวเองทุกวัน