ยุโรปปูพรมฉีดวัคซีน COVID-19 ด้าน ปชช. ข้องใจประสิทธิภาพวัคซีน
ยุโรปปูพรมฉีดวัคซีน COVID-19 ให้แก่ประชาชนครั้งใหญ่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อควบคุมการระบาดของโรค ทว่าชาวยุโรปจำนวนมากกลับตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเร็วในการทดสอบและอนุมัติ และยังลังเลที่จะเข้ารับวัคซีน
สหภาพยุโรป (EU) ได้ลงนามในสัญญากับบริษัทผู้ผลิตยาหลายแห่ง ทั้ง Pfizer และ BioNTech รวมทั้ง Moderna และ AstraZeneca เพื่อซื้อวัคซีนเป็นจำนวนทั้งหมด 2 พันล้านโดส โดยตั้งเป้าว่าจะฉีดให้กับประชาชนวัยผู้ใหญ่ทุกคนภายในปีหน้า ทว่าผลสำรวจกลับเปิดเผยว่า ประชาชนในหลายประเทศ ตั้งแต่ฝรั่งเศสไปจนถึงโปแลนด์ ยังมีความลังเลที่จะเข้ารับวัคซีน เนื่องจากมีภาพจำว่าวัคซีนจะต้องใช้เวลาในการพัฒนานานเป็นสิบปี ไม่ใช่ภายในเวลาไม่กี่เดือน และจะไม่ยอมให้ตนเองหรือลูกหลานเสี่ยงรับวัคซีนที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ
การสำรวจในประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนยังไม่ให้ความไว้วางใจต่อหน่วยงานรัฐมากนัก ระบุว่า ประชาชนน้อยกว่า 40% มีแผนที่จะเข้ารับวัคซีน และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีบุคลากรทางการแพทย์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นในโรงพยาบาลวอร์ซอว์ ซึ่งเป็นพื้นที่แรกของประเทศที่มีการฉีดวัคซีน
นายมาเทียส โมราวิคกี นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ เรียกร้องให้ประชาชนลงทะเบียนเข้ารับวัคซีน โดยระบุว่าการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จำเป็นต้องพึ่งพาวัคซีน ในขณะที่นักวิจารณ์กล่าวว่า ผู้นำสายชาตินิยมของวอร์ซอว์ในอดีตยอมรับทัศนคติที่สนับสนุนการต่อต้านวัคซีนมาอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ส่วนในสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างรุนแรงประเทศหนึ่งในยุโรป นักร้องและนักแต่งเพลงคนหนึ่งกล่าวว่า ตนเองก็มีแผนที่จะรอวัคซีนไปก่อน เนื่องจากคนรอบข้างยังไม่ติดเชื้อ COVID-19
ในบัลแกเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากร 45% ระบุว่าจะไม่เข้ารับวัคซีน COVID-19 และอีก 40% ตั้งใจว่าจะรอดูผลข้างเคียงของวัคซีนก่อน ด้านบิชอปนิกายคริสเตียนออร์โธดอกซ์ผู้หนึ่งมองเห็นข้อดีของการรับวัคซีนและสนับสนุนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข โดยเปรียบเทียบกรณีนี้กับความกังวลเกี่ยวกับโรคโปลิโอ เมื่อช่วงทศวรรษ 1950s และ 1960s ว่า สมัยนั้นทุกคนต่างก็กลัวโรคโปลิโอ แต่หลังจากได้รับวัคซีน ทุกคนก็มีความสุข ดังนั้น จึงต้องทำให้ประชาชนรู้สึกเชื่อมั่นให้ได้
ขณะที่ในสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในระดับสูง เช่นเดียวกับประเทศกลุ่มนอร์ดิกอื่นๆ ประชาชนกว่า 2 ใน 3 ต้องการเข้ารับวัคซีน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ปฏิเสธ
แม้ว่าจะมีกระแสความลังเลใจเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ แต่กระแสเหล่านี้ก็ไม่สามารถยับยั้งการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสิบปีมานี้
การผลิตวัคซีนในอดีต ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่สร้างขึ้นโดยไวรัสที่ถูกลดทอนความรุนแรงหรือไวรัสที่ตายแล้ว หรือวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ล้วนแต่ใช้เวลาในการผลิตเฉลี่ย 10 ปี วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่งใช้เวลาในการสร้างนาน 8 ปี ขณะที่วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 18 ปี อย่างไรก็ตาม วัคซีนของบริษัท Moderna ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA จากการจัดลำดับพันธุกรรมไปจนถึงฉีดเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์เป็นครั้งแรก ใช้เวลาเพียง 63 วันเท่านั้น