รู้จักการปฏิวัติครั้งสำคัญของโลก เข้าใจกระแสการเปลี่ยนแปลงที่กาลเวลาก็สุดต้านทาน
ปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบหน้ามือเป็นหลังมือโดยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รากฐานของโครงสร้างของอำนาจทางการเมืองในระยะเวลาอันสั้น เมื่อประชาชนได้พร้อมใจกันลุกขึ้นปฏิวัติต่อผู้ที่กุมอำนาจทางการเมืองอยู่ในขณะนั้
ปฏิวัติตามความหมายของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานคือการหมุนกลับ การผันแปรเปลี่ยนหลักมูลซึ่งตรงกับความหมายของภาษาอังกฤษ Revolution ที่มาจากภาษาละตินว่า Revolutio ก็คือการหมุนกลับเหมือนกัน
อริสโตเติลได้เขียนอธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง Politics ว่าเขาได้ศึกษารัฐธรรมนูญในสมัยกรีซโบราณถึง 158 ฉบับช่วยทำให้เขาเข้าใจถึงความหมายต่างๆ ของการปฏิวัติในระบบการเมืองหนึ่งๆ ซึ่งจากผลของการศึกษานี้อริสโตเติลได้ให้ความหมายของการปฏิวัติไว้ คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงหรือบางส่วนในรัฐธรรมนูญ เช่นเปลี่ยนจากกษัตริย์ที่ปกครองโดยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นคณาธิปไตยเป็นต้น
ในประวัติศาสตร์โลกคำว่าการปฏิวัติถูกใช้ครั้งแรกในอังกฤษที่ทำการเปลี่ยนแปลงนิกายศาสนาจากคาทอลิกไปสู่นิกายอังกฤษเป็นการถาวรเมื่อปี 2231 –2232 และทำการถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองจากกษัตริย์มาสู่รัฐสภาของอังกฤษซึ่งเรียกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ว่าเป็นการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution)
ต่อจากนั้นก็เกิดการปฏิวัติอเมริกาในปี 2319 คืออาณานิคม 13 แห่งในทวีปอเมริกาทำการต่อสู้เพื่อแยกตัวออกจากการปกครองของอังกฤษ ต่อจากนั้นอีก 13 ปี คือปี 2332 จึงมีการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส (The Great French Revolution) ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยสมัยใหม่เป็นครั้งแรกและเป็นจุดเริ่มต้นของการนำมาตราเมตริกมาใช้จากผลของการปฏิวัติครั้งนี้
Hulton Archive/Getty Images
นายคาร์ล ไฮน์ริช มากซ์ (Karl Heinrich Marx) นักเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคอมมิวนิสต์สมัยใหม่ มากซ์ได้สรุปแนวคิดของเขาไว้ข้อเขียนของ คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2391 ว่า
"ประวัติศาสตร์ของสังคมทั้งหมดที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ล้วนแต่เป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น"
นายมากซ์ไม่ใช่เป็นเพียงนักทฤษฎีทางสังคมและการเมืองเท่านั้น แต่เขายังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการจัดตั้งสมาคมกรรมกรสากล (International Workingmen's Association) ในปี 2407 และเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ทำให้ประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเกิดการปฏิวัติการปกครองโดยประชาชน (People Revolution) ขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสังคมนิยมเผด็จการแบบคอมมิวนิสต์ โดยมีรัสเซียเป็นประเทศแรกที่เริ่มทำการปฏิวัติในแนวนี้สำเร็จในปี 2460 หลังจากนั้นก็มีประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศก็ได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการเมืองเป็นมาร์กซิสต์ตามรัสเซียไปด้วย
Keystone/Getty Images
แต่ในปัจจุบันจากการศึกษาในสาขาวิชาสังคมศาสตร์สมัยใหม่ อาทิ ประวัติศาสตร์การเมือง สังคมวิทยาการเมืองและเศรษฐศาสตร์การเมืองได้แจกแจงว่าการปฏิวัติอาจจะเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันทางสังคมใดสถาบันใดสถาบันหนึ่งอย่างหน้ามือเป็นหลังมือก็จัดเป็นการปฏิวัติได้เช่นกัน อาทิ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือของสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เริ่มในประเทศอังกฤษโดยกระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2293-2393 ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาแรงงานคนและสัตว์เป็นหลักไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเครื่องจักรเป็นหลักของอังกฤษ โดยเริ่มในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมแรก อันเป็นผลมาจากการพัฒนากรรมวิธีการหลอมเหล็กและความนิยมในการใช้ถ่านหินโค้กที่แพร่หลายขึ้น
Hulton Archive/Getty Images
การขยายตัวของการค้าขายเป็นผลมาจากการขุดคลอง สร้างถนน และสร้างทางรถไฟ ด้วยการเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบพึ่งพาเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิต ทำให้เกิดการไหลบ่าของประชากรจากชนบทเข้าสู่เมืองขนานใหญ่ และก่อให้เกิดการขยายตัวของจำนวนประชากรและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บรรดาประเทศที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมในทวีปยุโรปต้องขยายอำนาจไปยึดครองอาณานิคมในทวีปต่างๆ อย่างจริงจัง เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดที่รองรับสินค้าอุตสาหกรรมนั่นเองอันส่งผลให้มีการปฏิวัติชาตินิยมเกิดขึ้นในหลายสิบประเทศเพื่อปลดแอกจากบรรดาเจ้าอาณานิคมในยุโรป
ขณะนี้เราอยู่ในยุคของการปฏิวัติดิจิทัล (Digital Revolution) ที่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2490 เมื่อมีการประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกซึ่งนำไปสู่การสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมาซึ่งผลของการปฏิวัติดิจิตอลนี้สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างแจ้งชัดดังนี้
- ปี 2533 ประชากรโลกมีโทรศัพท์มือถือกัน 12.5 ล้านคน (ประมาณ 0.25% ของชาวโลก)และมีผู้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต 2.8 ล้านคน (ประมาณ 0.05% ของชาวโลก)
- ปี 2545 ประชากรโลกมีโทรศัพท์มือกัน 1,200 ล้านคน (ประมาณ 19% ของชาวโลก) และมีผู้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต 631 ล้านคน (ประมาณ 11% ของชาวโลก)
- ปี 2553 ประชากรโลกมีโทรศัพท์มือถือกัน 4,000 ล้านคน (ประมาณ 68% ของชาวโลก) และมีผู้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ต 1,800 ล้านคน (ประมาณ 26.6% ของชาวโลก)
- ปี 2559 ประชากรโลกผู้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมีอยู่ 3,600 ล้านคน (ประมาณ 49.5% ของชาวโลก)
- ปี 2563 ประชากรโลกผู้ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมีอยู่ 4,540 ล้านคน (ประมาณ 59% ของชาวโลก)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปฏิวัตินั้นคือการเปลี่ยนแปลงภายในสถาบันทางสังคมสถาบันใดสถาบันหนึ่งก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันศาสนา สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบหน้ามือเป็นหลังมือก็จะเกิดการปฏิวัติได้ทั้งสิ้น
Jimmy Sime/Central Press/Hulton Archive/Getty Images