“แพท พาวเวอร์แพท” เปิดใจครั้งแรก ในวันพ้นโทษ พ่อ-แม่ สุดกลั้นน้ำตา "กลับบ้านเรานะลูก"
เป็นระยะเวลากว่า 16 ปี 6 เดือน ที่อดีตนักร้องหนุ่ม แพท-วรยศ บุญทองนุ่ม หรือ แพท พาวเวอร์แพท ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในรั้วเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี ในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเสพ
ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยความที่เจ้าตัวประพฤติตนอยู่ในกฎระเบียบเป็นนักโทษชั้นดีเยี่ยม อีกทั้งยังตั้งใจเรียนหนังสือจนจบระดับปริญญาตรี แถมยังช่วยสนับสนุนและสอนเพื่อนๆ นักโทษให้เล่นดนตรีเรื่อยมา จนท้ายที่สุดวันนี้ 4 มกราคม 2564 แพท พาวเวอร์แพท ก็ได้รับอิสระและพ้นโทษออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในวัย 40 ปี โดยเจ้าตัวได้เผยความรู้สึกและความตั้งใจที่จะทำต่อไปในอนาคตเพื่อครอบครัวให้เราฟังว่า...
"ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และก็รู้สึกสำนึกในพระเมตตาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมากเลยนะครับ ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ในครั้งนี้ ซึ่งท่านทรงเห็นความสำคัญของผู้ต้องราชทัณฑ์ว่าเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่านไม่แพ้กับประชาชนทั่วๆ ไป ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมซาบซึ้งใจมากนะครับที่ท่านทรงได้ให้โอกาสให้ผู้ต้องราชทัณฑ์ได้กลับตัวเป็นคนดี ให้โอกาสได้กลับไปดูแลครอบครัว ให้โอกาสได้ไปพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคม สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป ผมรู้สึกซาบซึ้งมากและผมจะรักษาโอกาสที่รับครั้งนี้ไว้เทียบเท่าชีวิต โอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ เพราะฉะนั้นผมจะมุ่งมั่นทำแต่ความดี และก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงจะช่วยป้องกัน รณรงค์เรื่องยาเสพติดด้วย และก็จะไม่ทำผิดกฎหมาย เพราะว่าผมเองได้ทำการปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และผู้แทนพระองค์ในวันนี้ก่อนออกมาแล้ว ว่าผมจะไม่ทำผิดกฎหมายอีกต่อไป"
นี่คือคำสัญญาที่เราให้ไว้กับตัวเอง ?
"กับตัวเอง กับพระองค์ท่าน กับสังคม ผมอาจจะเคยมีส่วนที่ทำร้ายสังคมเมื่อในอดีต แต่วันนี้มันถึงเวลาที่ผมได้โอกาสที่ผมจะได้ชดใช้กับสังคม มันเป็นโอกาสที่ผมจะชดเชยให้กับทางสังคมและครอบครัวของผม ให้ผมได้กลับไปดูแลครอบครัวของผมครับ"
เราเคยคิดมาก่อนไหมว่าเราจะได้รับอภัยโทษ ?
"ไม่เคยคิดเลยครับ เพราะจากที่ผมเคยคำนวณช่วงที่ผมยังอยู่ข้างใน ผมคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีอีก 2 ปี คือไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ผมอยู่ในเรือนจำมาว่าจะมีพระราชทานอภัยโทษติดๆ กันถี่ๆ ขนาดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ ถือว่าพระองค์ทรงมีพระเมตตาให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์อย่างสูงเลยครับ"
ตอนนี้ได้เจอหน้าครอบครัวครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง ?
"พูดยากเลยครับ มันมีหลายความรู้สึกมาก มันเหมือนวันที่เราฝันมาตลอดเกือบ 17 ปี เราฝันถึงวันนี้มาตลอด แต่สิ่งที่เราฝันมันก็อาจจะไม่ได้ตรงกับภาพที่เราเห็น 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ความรู้สึกมันใกล้เคียงมาก และก็ดีใจที่มีหลายๆ คนมารอรับไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ รวมถึงพี่ๆ เพื่อนๆ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าทุกคนยังอ้าแขนต้อนรับผม อบอุ่นมากครับวันนี้ ตื่นตันใจอย่างหาที่สุดไม่ได้ น่าจะเป็นวันที่ผมจะต้องจดจำไปจนวันตายเลยก็ว่าได้"
เมื่อคืนนี้นอนหลับไหมหรือว่าตื่นเต้น ?
"ผมหลับๆ ตื่นๆ ตั้งแต่รู้ว่าจะมีพระราชทานอภัยโทษแล้วครับ แต่ช่วง 14-15 วันที่ผ่านมา ผมได้เข้าอบรมโครงการโคกหนองนา ซึ่งเป็นโครงการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านได้ทรงประทานให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เป็นหนึ่งในการอบรมผู้ต้องขังก่อนปล่อยพ้นโทษ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ได้มีการนำหลักสูตรโคกหนองนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาสอนให้แก่ผู้ต้องขังเกี่ยวกับการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และการดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเอง การทำเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็ก ซึ่งผมได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และได้ลงพื้นที่จริงตั้งแต่การขุดโคก การทำโคก การขุดหนอง ทำนา ทุกอย่างได้ลงมือเองหมด พร้อมกับเพื่อนพี่น้องที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกประมาณ 200 กว่าคนในรุ่นนี้"
เห็นว่าเราได้ก้มกราบคุณพ่อคุณแม่ด้วย ตอนนั้นได้พูดอะไรกับท่านบ้าง ?
"ไม่ได้พูดเลยครับ ผมพูดไม่ออกจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจนะครับว่าผมอยากจะกราบเท้าขอโทษท่าน เพราะตอนที่อยู่ข้างในผมไม่เคยทำเลย ในชีวิตผมไม่เคยทำมาก่อน ผมก็เลยคิดว่าตัวเองจะกล้าทำหรือเปล่า และยิ่งวันนี้มีสื่อมวลชนมาด้วยผมจะกล้าทำไหม อันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ในใจ แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ ผมแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย ผมไม่คิดเลย คือมันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมอยากจะขอโทษพ่อกับแม่ที่มีส่วนทำให้ครอบครัวเราต้องลำบาก ในช่วงเวลา 16-17 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนในครอบครัวเขาไม่ได้รู้สึกลำบากกับการที่จะต้องมาดูแลเราในนี้ แต่เราในฐานะลูกผู้ชายและเป็นลูกชายคนเดียวมันใช่เรื่องเหรอที่เราจะต้องให้ท่านมาดูแลเรา เราเองก็อายุขนาดนี้แล้ว"
คุณพ่อคุณแม่ท่านบอกอะไรกับเราบ้าง ?
"ท่านก็ร้องไห้ครับ แล้วก็บอกว่ากลับมาอยู่ด้วยกัน คือคุณแม่ของผมท่านเป็นคนที่ค่อนข้างเซนซิทีฟกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อย่างช่วง 1-2 ปีแรกที่ผมต้องเข้าไปอยู่เรือนจำ แม่ก็ไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาได้เลยสักครั้ง จนพ่อต้องบอกกับท่านว่าเดี๋ยวผมจะไม่สบายใจเวลามาเยี่ยม จากนั้นคุณแม่ก็พยายามที่จะไม่ร้อง ซึ่งคุณแม่ก็ทำได้ดี เพราะหลังจากนั้นคุณแม่ก็พยายามยิ้มแย้มแจ่มใสและเราก็คุยกันแต่เรื่องดีๆ"
เราเองก็ร้องด้วยเหมือนกัน ?
"ปกติผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้นะ (หัวเราะ) วันนี้มันเป็นวันที่ผมตื้นตันใจที่สุดเลยครับ มันรอคอยมาตลอดเวลา มันเป็นโอกาส มันเป็นวันที่เหมือนเราได้เกิดใหม่ และยิ่งได้รู้ว่าสังคมเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับมันรู้สึกเกินคาดกว่าสิ่งที่เราคิดไว้มากครับ"
วางแผนอนาคตของตัวเองหลังจากนี้ว่าอย่างไรบ้าง ?
"ผมต้องวางแผนชีวิตอีกเยอะมากๆ เลยครับ เพราะว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันแรกที่ผมมีเรื่อง จนกระทั่งมาถึงวันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ผมจะต้องเก็บเกี่ยวข้อมูลแล้วก็ค่อยๆ ศึกษาการใช้ชีวิตในปัจจุบันไป"
กังวลเรื่องการปรับตัวบ้างหรือเปล่า ?
"ผมไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ครับเพราะผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่และพี่ๆ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับผมแน่นอน ส่วนผมเองผมก็จะต้องคอยพยายามขอคำปรึกษาจากเขา"
เสียดายเครื่องชีวิตที่หายไปบ้างไหม ?
"ผมเชื่อว่าชีวิตมันมีทั้ง 2 ด้านครับ ถ้าหากวันนั้นผมไม่ได้เข้าไปอยู่เรือนจำผมอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ เพราะตอนวัยรุ่นผมใช้ชีวิตเสี่ยงมากจริงๆ ใช้ชีวิตแบบไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้เลยในตอนนั้น แต่พอผมได้มาอยู่เรือนจำ ผมก็รู้สึกว่ามันก็มีมุมที่เป็นความโชคดี เป็นความโชคดีในความโชคร้าย มันมีคุณค่าต่อชีวิตผมมาก คือถ้าจะให้ลงรายละเอียดลึกว่าผมได้อะไรเราคงต้องคุยกันยาว"
จะมีโอกาสได้ฟังเรากลับมาร้องเพลงอีกครั้งหนึ่งไหม ?
"การร้องเพลงมันเป็นชีวิตของผมอยู่แล้ว ผมอยู่ข้างในผมเขียนเพลงเยอะมาก และผมก็รอโอกาสที่จะได้ออกมาพรีเซนต์ให้ทุกๆ คนฟัง มันเป็นเรื่องที่ทั้งเกิดขึ้นจริงกับตัวเองและเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง และเรื่องการพัฒนาทักษะด้านดนตรีที่ผมรักมันก็มีอยู่ตลอด มีการวางแผนอยู่ตลอด ซึ่งได้ฟังแน่นอนครับสำหรับงานเพลง รวมถึงผมได้มีการคุยกับเปรมมือเบรคของวงพาวเวอร์แพทด้วยแบบคร่าวๆ ตอนที่เขาเข้ามาเยี่ยมว่าเรามีโอกาสอย่างมากที่จะกลับมารวมตัวกันและทำเพลงใหม่ มีโอกาสอย่างสูงเลยครับ"
เรียกว่าเป็นเป้าหมายแรกของเราเลยได้ไหม ?
"ยังครับ ยัง ผมคิดว่าผมคงต้องคิดแล้วก็ต้องวางแผนก่อน เพราะเป้าหมายแรกจริงๆที่ผมตั้งใจไว้ก็คือผมอยากจะบวชให้แม่และหลังจากนั้นเราก็ค่อยมาว่ากันอีกทีเรื่องโปรเจกต์ต่อๆ ไป"
อัลบั้มภาพ 13 ภาพ