จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลัง “โควิด-19” ก้าวเข้าสู่การระบาดในปีที่ 2

จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลัง “โควิด-19” ก้าวเข้าสู่การระบาดในปีที่ 2

จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลัง “โควิด-19” ก้าวเข้าสู่การระบาดในปีที่ 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โรคระบาดใหญ่ “โควิด-19” ที่แพร่ระบาดเมื่อปีที่แล้ว ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของคนทั่วโลก บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือกับผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็เร่งพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสอย่างเต็มที่

ล่าสุด สำนักข่าว CNN ได้รายงานสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2021 พร้อมประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีที่ 2 ของโรคระบาดใหญ่ชนิดนี้

สถานการณ์ในช่วง 2 – 3 เดือนข้างหน้าจะยากลำบาก

เนื่องจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองทั้งคริสต์มาสและปีใหม่ ที่ผู้คนจำนวนมากจะรวมตัวเพื่อพบปะกัน ส่งผลให้เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้ง่าย และทำให้สถานการณ์โรคระบาดในปีนี้แย่ลง

จากจำนวนผู้โดยสารเครื่องบินกว่า 1.1 ล้านคน ที่แออัดอยู่ในท่าอากาศยานต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ในวันจันทร์หลังจากเทศกาลคริสต์มาส และผู้คนที่เดินทางกลับจากเยี่ยมบ้าน ก่อให้เกิดคลื่นของผู้ติดเชื้อและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก ในขณะที่การรับมือกับโรคระบาดอ่อนกำลังลง ดังนั้น จึงมีการคาดการณ์ว่า จะมีชาวอเมริกันราว 80,000 คน เสียชีวิตภายในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า จนกว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์

การเร่งดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน

ขณะนี้ สหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโคโรนา ทั้งของ Pfizer และ Moderna ให้กับประชาชนกว่า 4.2 ล้านคนแล้ว ทว่าแต่ละรัฐก็ยังต้องทำงานหนักเกี่ยวกับการตัดสินใจว่าจะต้องฉีดวัคซีนให้คนกลุ่มใดก่อน และต้องฉีดเมื่อไร รวมทั้งข้อกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน และปัญหาในการขนส่งและกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆ

วัคซีนอาจไม่ได้ผลทันที

แม้ว่าวัคซีนของ Pfizer และ Moderna จะได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ และก่อให้เกิดความหวังในการต่อสู้กับโรคระบาด แต่กระบวนการผลิตวัคซีนนั้นต้องใช้เวลาหลายเดือน ดังนั้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องสวมหน้ากากป้องกัน และเว้นระยะห่างทางสังคมต่อไป จนกว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะทำให้เชื้อไวรัสหยุดการระบาด

ในแง่คุณสมบัติของวัคซีน วัคซีนทั้งสองจะมีระยะห่างในการฉีดแต่ละโดส โดยวัคซีนของ Pfizer จะมีระยะห่างระหว่างโดสแรกและโดสที่สอง 21 วัน ส่วนวัคซีนของ Moderna จะอยู่ที่ 28 วัน อย่างไรก็ตาม โดสแรกจะสามารถต้านไวรัสได้บางส่วน และวัคซีนจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากฉีดโดสที่สอง แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าวัคซีนจะสามารถต้านการระบาดของเชื้อไวรัสได้หรือไม่ เช่น วัคซีนของ Pfizer ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่แสดงอาการและโรคที่มีอาการหนัก ทว่างานวิจัยไม่ได้ระบุว่าวัคซีนสามารถป้องกันพาหะนำโรคได้หรือไม่ จึงเป็นไปได้ว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนอาจจะยังสามารถเป็นพาหะที่ไม่แสดงอาการได้

นอกจากนี้ ยังเกิดคำถามว่า วัคซีนสามารถกระจายให้กับประชาชนได้เร็วแค่ไหน และประชาชนพร้อมแค่ไหนในการรับวัคซีน รวมทั้งยังมีข้อมูลผิดๆ กระจายอยู่ในโซเชียลมีเดีย และความไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจรับวัคซีนของชาวอเมริกันด้วย

ผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ที่เพิ่มมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ต่างเร่งชะลอการระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์ซับซ้อนเกินกว่าที่วัคซีนจะจัดการได้ โดย Pfizer และ Moderna ต่างก็กำลังทดสอบวัคซีนว่าจะสามารถต้านเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ได้หรือไม่ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดกลายพันธุ์นี้จะไม่สามารถเอาชนะวัคซีนได้

ความหวังที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในปี 2021

ขณะที่ประชาชนได้รับวัคซีนและป้องกันตนเองโดยการสวมหน้ากาก ก็เริ่มมีสัญญาณการคลี่คลายของโรคระบาดเกิดขึ้นทีละน้อย โดย ดร.แอนโธนี ฟอซี หนึ่งในคณะทำงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า ในเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการรับวัคซีน ซึ่งหากประชาชนได้รับวัคซีนตามกำหนด และประชากรราว 70 – 80% ได้รับวัคซีน ก็จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสามารถกลับสู่วิถีชีวิตปกติได้ภายในฤดูใบไม้ร่วง หรือปลายปีนี้นั่นเอง

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook