แม่คลั่งทำร้ายลูกสาววัย 16 เลือดสาด-ขังในห้อง ระแวงทำคุณไสยใส่พ่อเลี้ยง
แม่แท้ๆ ทำร้ายลูกสาววัย 16 ปี ได้รับบาดเจ็บ ก่อนขังไว้ในห้อง ระแวงทำคุณไสยใส่พ่อเลี้ยงให้หลงรัก
วันนี้ (6 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุแม่ทำร้ายลูกสาวแท้ๆ วัย 16 ปี ภายในห้องเช่าแห่งหนึ่งภายในถนนหลังสวนซอย 6 (ซอยข้างเรือนจำหลังสวน) เขตเทศบาลเมืองหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร พร้อมกับขังลูกสาวไว้ภายในห้องโดยล็อกกุญแจไว้ ทั้งที่ลูกสาวได้รับบาดเจ็บ
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเปิดเผยเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. วันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา หน่วยกู้ภัยสมาคมพุทธประทีปหลังสวน ได้รับแจ้งจากพนักงานจดมิเตอร์ไฟฟ้าว่ามีหญิงสาววัยรุ่นถูกขังไว้ในห้องพัก โดยล็อกกุญแจจากด้านนอก ร้องผ่านกระจกหน้าต่างขอความช่วยเหลือ มีร่องรอยคล้ายถูกทำร้าย
หลังรับแจ้งหน่วยกู้ภัยจึงนำกำลังไปที่เกิดเหตุพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หลังสวน นำโดย ร.ต.ต.โชคชัย รัตนพันธ์ รอง สวป.นำกำลังร่วมตรวจสอบ ต่อมาให้หน่วยกู้ภัยใช้เครื่องตัดกุญแจเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ภายในห้องพบ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี สภาพอิดโรย สวมชุดนอนลายการ์ตูน มีเลือดติดแห้งกรังอยู่บนแขนขา พบว่ามีบาดแผลบริเวณสันมือข้างซ้ายจำนวน 2 แผลยาวประมาณ 2 ซม. ด้านหลังมีร่องรอยเขียวฟกช้ำจำนวนมาก หน่วยกู้ภัยจึงทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังสวน ส่วนภายในห้องมีสิ่งของกระจัดกระจายเกลื่อน พร้อมทั้งมีเศษกระจกแตก และเลือดหยดไหลนองเต็มทั่วห้อง
น.ส.เอ (นามสมมุติ) วัย 16 ปี เล่าให้ฟังว่า ตนถูกแม่แท้ๆ ใช้สายเข็มขัดฟาดตี และใช้กระจกที่อยู่ในห้องน้ำตีตนจนได้รับบาดเจ็บที่มือ สาเหตุมาจากแม่ระแวงว่าตนจะทำคุณไสยทำของใส่พ่อเลี้ยงให้หลงรัก ซึ่งตนเองก็ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น และไม่รู้ว่าแม่เอาความคิดนี้มาจากไหนทำไมแม่ถึงได้ทำกันถึงขนาดนี้
หลังก่อเหตุแม่และพ่อเลี้ยงได้ขนเสื้อผ้าออกจากห้องไป พร้อมกับล็อกกุญแจขังตนไว้ ตนจึงร้องขอความช่วยเหลือเป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานจดมิเตอร์ไฟฟ้ามายืนอยู่หน้าห้องพอดี
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ สภ.หลังสวน เพื่อสอบถามเรื่องคดี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่าหลังเกิดเหตุได้พูดคุยกับ น.ส.เอ แล้ว โดยบอกว่าไม่เอาเรื่องกับผู้เป็นแม่ เพราะมีกันแค่สองคน ส่วนพ่อแท้ๆ ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากออกจากโรงพยาบาลจะย้ายไปพักอาศัยกับเพื่อน
ส่วนแม่เด็กยังไม่ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ข้อมูลจากสาเหตุดังกล่าว จึงยังไม่ได้เป็นคดีความแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ