เฝ้าระวังขั้นสูงสุดสกัด ผู้ก่อการร้าย แฝงป่วนถก อาเซียน!

เฝ้าระวังขั้นสูงสุดสกัด ผู้ก่อการร้าย แฝงป่วนถก อาเซียน!

เฝ้าระวังขั้นสูงสุดสกัด ผู้ก่อการร้าย แฝงป่วนถก อาเซียน!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มทภ.1-กอ.รมน.มาตรการเฝ้าระวังขั้นสูงสุด3 มิติประชุมผุ้นำอาเซียน แจงยังไม่มีข่าวผู้ก่อการร้ายข้ามชาติแฝงตัวป่วน แบ่งพื้นที่ควบคุมมั่นคงเป็น 2 เขต "หวงห้าม-เฝ้าระวัง"-ติดสติ๊กเกอร์-บาร์โค้ดรถที่เข้ามาในพื้นที่ เครือข่ายเกษตรค้านการเปิดเสรีลงทุนด้านเกษตร-ประมง-ป่าไม้ ขู่เคลื่อนไหวใหญ่ต้าน

ติดบาร์โค้ดรถพื้นที่ประชุมอาเซียน

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ออกมาระบุว่า อาจมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามาก่อความไม่สงบในช่วงประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม ว่าได้ติดตามข่าวทุกข่าว และระวังเรื่องทุกเรื่องทุกด้าน ก็พยายามจะป้องกันให้ดีที่สุด แต่คงไม่เอาการข่าวมาพูดกัน

วันเดียวกัน พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นประธานจัดการประชุมเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ณ โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์พลาซ่า จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นการประชุมร่วมกันระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กอ.รมน.ภาค 1 ส่วนราชการ และประชาชนในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบุรี

พล.ท.คณิตกล่าวว่า การบูรณาการรักษาความปลอดภัยจะมีกำลังจากทางทหารบก ทหารอากาศ ทหารเรือ ตำรวจ และภาคประชาชนเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยจะใช้สติกเกอร์เพื่อตรวจสอบสถานะบุคคลและยานพาหนะในพื้นที่ โดยใช้สีแยกประเภทยานพาหนะ และบุคคล พร้อมติดบาร์โค้ดที่สติกเกอร์เพื่อตรวจสอบข้อมูลได้ ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่ อ.หัวหิน และ อ.ชะอำ ตั้งแต่วันที่ 12-27 ตุลาคม เจ้าหน้าที่จะแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น 2 เขต คือเขตพื้นที่หวงห้าม และเขตพื้นที่เฝ้าระวัง จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน

ไม่มีข่าวผู้ก่อการร้ายแต่ระวัง3มิติ

เมื่อถามว่า มีข้อมูลกลุ่มก่อการร้ายจะเข้ามาก่อเหตุหรือไม่ พล.ท.คณิตกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูล แต่เรามีมาตรการเฝ้าระวังในรูปแบบ 3 มิติ คือ มิติด้านก่อการร้าย มิติด้านความปลอดภัย และมิติด้านการดูแลความสงบ ทั้งนี้ ประเทศที่มาประชุมมีประเทศที่เสี่ยง ดังนั้น จึงต้องเตรียมมาตรการดูแลความปลอดภัยในทุกมิติ

พล.ต.ดิษฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีกลุ่มก่อการร้ายเตรียมเข้ามาก่อเหตุในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียนว่า นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยในการประชุมอาเซียน ต้องดูให้ทั่วถึงทุกด้าน รวมทั้งกลุ่มก่อการร้ายด้วยว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร ดังนั้น กอ.รมน.จึงเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อให้ผู้นำทุกประเทศมีความมั่นใจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าจะมีกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย

เมื่อถามว่า กอ.รมน. ภาค 1 เตรียมคุมเข้มรถทุกคันที่เข้าออกพื้นที่ด้วยการติดสติกเกอร์ แสดงว่ามีข้อมูลการเตรียมก่อเหตุคาร์บอมม์หรือไม่ พล.ต.ดิษฐพรกล่าวว่า ไม่ใช่ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการสัญจรเข้ามาในพื้นที่การประชุม หรือในเส้นทางจราจรที่กำหนดให้เป็นเส้นทางของคณะที่เข้าร่วมประชุม โดยวันที่ 12 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จะให้รถทุกคันที่สัญจรเส้นทางดังกล่าวต้องติดสติกเกอร์ทุกคัน โดยแบ่งสีสติกเกอร์ตามประเภทรถ และรถที่ใช้ในการประชุม รถทุกคันจะมีข้อมูลออนไลน์ไปที่สำนักงานทะเบียน เพื่อตรวจสอบประวัติทุกคันได้ เพื่อป้องกันรถนอกพื้นที่เข้ามา

มอบเครื่องแก้วสุพรรณหงส์ให้ผู้นำ

นายวัชราวุธ สุขเสรี ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน เปิดเผยถึงความพร้อมการต้อนรับคณะที่จะมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ว่าขณะนี้พร้อมทั้งหมดแล้ว เนื่องจากโรงแรมมีประสบการณ์จากการประชุม ครั้งที่ 14 และเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้นำประเทศ โรงแรมจัดเตรียมของที่ระลึกมอบให้กับผู้นำประเทศอาเซียน และประเทศคู่เจรจา เป็นประติมากรรมเครื่องแก้ว รูปเรือสุพรรณหงส์ สะท้อนถึงความเป็นไทย และเป็นสัญลักษณ์ที่มีความสูงค่า โดยตัวเรือจะเป็นกระจกที่วางติดกันเชื่อมด้วยกาวพิเศษ หัวเรือและหางเรือลงรักปิดทองตรงกลางจะมีสัญลักษณ์อาเซียน มีความยาวโดยประมาณ 70 เซนติเมตร สร้างสรรค์ผลงานโดยฝีมือคนไทย

เครือข่ายเกษตรค้านเปิดเสรี3สาขา

วันเดียวกัน ศ.ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโส ในฐานประธานมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) พร้อมด้วยนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ตัวแทนจากกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์ นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ มูลนิธิอันดามัน และ น.ส.พรพนา ก๊วยเจริญ นักวิจัยมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ร่วมแถลงคัดค้านการเปิดเสรีการลงทุนด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมง ที่เคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) พร้อมส่งหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนเรื่องดังกล่าว

ศ.ระพีกล่าวว่า รัฐบาลควรทบทวนเรื่องนี้ อย่าหวังผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือเอาใจกลุ่มทุนจนสร้างผลกระทบต่อคนไทย เรื่องนี้มีผลกระทบมากไปกว่ากรณีการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในกรณีกล้วยไม้ เพราะเป็นการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาแย่งชิงอาชีพและทรัพยากรของประเทศ กระทบต่ออธิปไตยและความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างมาก

นายวิฑูรย์แถลงว่า ขณะนี้ตัวแทนประเทศไทยกำลังเจรจาเปิดเสรีการลงทุนภายใต้ความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน (ACIA) โดยจะถอนข้อสงวนที่ไทยเคยกำหนดไว้ภายใต้ข้อตกลงเขตการลงทุนเสรี (AIA) เดิมใน 3 สาขาสำคัญ คือ 1.กิจการเพาะขยายหรือปรับปรุงพันธุ์พืช 2.การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 3.การทำป่าไม้จากป่าปลูก ซึ่งเป็นกิจการที่สงวนให้เป็นของคนไทย

ขู่ล่าชื่อ-เคลื่อนไหวใหญ่ประท้วง

"นายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เห็นชอบให้เปิดเสรีทั้ง 3 สาขาอย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งๆ ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาล การดำเนินการดังกล่าวยังเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จึงขอให้นายกฯชะลอหรือยับยั้งการดำเนินการเปิดเสรีภาคการเกษตร ประมง และป่าไม้ และให้ประเมินผลกระทบก่อน และให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบมาก่อน โดยขอให้ดำเนินการภายใน 1 สัปดาห์ หากไม่มีความคืบหน้าใดๆ กลุ่มเครือข่ายเกษตรกรรมจะล่ารายชื่อทั่วประเทศ และรวมตัวกันเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหวใหญ่ก่อนจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน" นายวิฑูรย์กล่าว

นายวิฑูรย์กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดการค้าเสรีว่า จะเกิดการกว้านซื้อที่ดินและเช่าพื้นที่ทำการเกษตร พื้นที่ในเขตป่าชายเลน และระบบนิเวศน้ำกร่อย และพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ เพื่อประกอบธุรกิจในสาขาที่เปิดเสรี ขยายปัญหาการแย่งชิงน้ำระหว่างกลุ่มธุรกิจกับชาวบ้านในพื้นที่ เกษตรกรรายย่อยไม่ต่ำกว่าล้านครัวเรือนจะต้องขาดรายได้ 2.กลุ่มทุนต่างชาติจะเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเสรี

นักวิชาการหวั่นไทยเป็นปท.ป่วย

วันเดียวกัน ที่อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี สถาบันวิจัยสังคม สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะทำงานมหกรรมประชาชนอาเซียน จัดสัมมนา "เดิมพันอาเซียน : ประเด็นท้าทายต่อสังคมไทย"

นายอนุช อาภาภิรม ประธานมูลนิธิศูนย์สื่อเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย สังคมไทยเกิด 3 ก๊ก ยุคใหม่คือ เสื้อแดง เสื้อเหลือง และเสื้อน้ำเงิน อาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย เหมือนที่ประเทศอิตาลีเคยเป็นคนป่วยแห่งยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะรัฐบาลล้มอยู่ตลอดเวลา และการทำให้อาเซียนเป็นตลาดเดียวต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขณะนี้โลกกำลังปรับตัวอีกครั้ง โดยกระแสตะวันตกตกลง และกระแสตะวันออกแรงขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรจะไปอิงตะวันตกอย่างเดียว แต่ควรมองจีน อินเดีย มากขึ้นด้วย

นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน กล่าวว่า ปัญหาร่วมกันของอาเซียนคือ ประชาชนไม่รู้จักอาเซียนและเห็นเป็นเรื่องไกลตัว โดยเมื่อ 2 ปีก่อน สิงคโปร์เป็นประธานอาเซียน ได้มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในประเทศสมาชิก พบว่า กลุ่มประเทศเข้าใหม่ต่างรู้จักอาเซียนและเห็นความสำคัญ แต่ประเทศก่อตั้งทั้งไทย สิงคโปร์ กลับไม่รู้จัก พอถามความรู้ว่ารู้จักธงอาเซียนหรือไม่ ปรากฏว่าประเทศไทยหน้าแตก เพราะคนไทยอยู่อันดับสุดท้าย

หวังภาคปชช.พม่า-เขมรได้พบผู้นำ

นางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) กล่าวถึงการประชุมเวทีคู่ขนานการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 18-20 ตุลาคม ว่า สิ่งที่ยังเป็นเรื่องท้าทายคือ การมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนจะปฏิบัติเป็นจริงได้อย่างไร โดยวันที่ 23 ตุลาคมนี้ จะเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้าพบผู้นำอาเซียน โดยครั้งก่อนพม่าและกัมพูชาไม่ให้เข้าพบ แต่หวังว่าครั้งนี้จะมีโอกาส

น.ส.ศิกดิ์สีนี เอมะศิริ ธนกุลมาส ผู้แทนเครือข่ายเยาวชนอาเซียน กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เยาวชนอาเซียนจะแลกเปลี่ยนงานเยาวชนอาเซียนที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยจะหารือถึงเรื่องการศึกษาทางเลือก ที่สำคัญคือ เรื่องสันติภาพ โดยวันที่ 14-17 ตุลาคมนี้ จะมีการหารือร่วมกัน วันที่ 18 ตุลาคม จะเดินรณรงค์ร่วมกัน หลังจากนั้นจะยื่นข้อเสนอให้ผู้นำอาเซียน

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook