เปิดใจ เจ๊บิ๊ก เจ้าของร้านทองเมืองบ้านโป่ง หลังพ้นมลทินคดีจ้างวานพยายามฆ่าอดีตสามี
เจ๊บิ๊ก เจ้าของร้านทอง อ.บ้านโป่ง เปิดใจ หลังศาลยกฟ้อง พร้อมคืนความบริสุทธิ์ กรณีตกเป็นผู้ต้องหาจ้างวานพยายามฆ่าอดีตสามี
(18 ม.ค.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับแจ้งจาก น.ส.เพชรรัตน์ ตั้งสิริเมธาพร หรือ เจ๊บิ๊ก วัย 46 ปี เจ้าของร้านทองเยาวราช บิ๊กเซ่งเฮง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ถึงเรื่องความคืบหน้าในคดีที่ตนเองตกเป็นผู้ต้องหาจ้างวานฆ่านายอนุพันธ์ อดีตสามี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา ได้พิพากษาให้ยกฟ้องตนเอง
น.ส.เพชรรัตน์ หรือ เจ๊บิ๊ก เปิดเผยว่า ตนต้องขอบคุณในความยุติธรรม ที่ศาลได้ตัดสินในคดีที่พิสูจน์แล้วว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยยกฟ้องตนเอง และคืนความบริสุทธิ์ให้กับตนเอง ตนยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว เพราะชีวิตของตนเองได้แต่ทำมาค้าขาย ไม่เคยไม่ยุ่งอะไรกับใครเลยไม่เคยแม้จะออกไปเที่ยวหรือคบกับใครอยู่แต่ในร้าน ค้าขายอย่างเดียว
เจ๊บิ๊ก เล่าอีกว่า ในส่วนปัญหาที่อ้างตนเองว่าจะไปเอาทรัพย์สมบัตินั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะเรื่องครอบครัวนั้น ตนได้หย่าร้างกับทางอดีตสามีไปเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2559 และได้ทำข้อตกลงหลังใบหย่าร่วมกันว่า ตนเองกับอดีตสามีหย่ากันด้วยความสมัครใจ
โดยก่อนที่จะหย่าได้แต่งงานอยู่กินกันเป็นเวลาประมาณ 19 ปี มีบุตร เป็นจำนวน 3 คน ได้แก่ คนที่ 1 บุตรสาว อายุ 16 ปี, คนที่ 2 บุตรชาย อายุ 14 ปี และคนที่ 3 บุตรชาย อายุ 13 ปี โดยให้ตนเองซึ่งเป็นมารดา เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่ฝ่ายเดียว ส่วนคู่หย่าฝ่ายชาย (อดีตสามี) ตกลงให้ค่าเลี้ยงดูแก่บุตรทั้ง 3 คน เดือนละ 50,000 บาท
ส่วนทรัพย์สินได้มีการแบ่งกัน ได้แก่ 1.บ้านที่ ถ.ศรีวังตาล ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของบุตรทั้ง 3 คน รถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของนายอนุพันธ์ (อดีตสามี) ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ตามหนังสือข้อตกลงในการหย่า โดยที่ทั้งตนเองและอดีตสามีได้ลงรายมือขอรับรองในบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าว ว่าเป็นความจริงทุกประการ และเซ็นชื่อต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของอำเภอบ้านโป่ง
เจ๊บิ๊ก เล่าต่อว่า หลังจากที่ทำสัญญาในการหย่ากันแล้ว ผ่านมา 4-5 ปี ตนเองก็ยังไม่เคยได้เงินค่าเลี้ยงดูบุตรทั้ง 3 คน ในจำนวน 50,000 บาท ตามที่ตกลงไว้เลย แต่ตนเองก็ไม่เคยไปทวงก็ดูแลลูกเอง ส่วนปัญหาเรื่องตึก ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ทำมาด้วยกัน ราคาก็ตกอยู่ประมาณ 20-30 ล้านบาท เมื่อวันที่ที่หย่าร้างกันได้ตกลงกันว่า ตึกหลังดังกล่าจะโอนให้เป็นชื่อของบุตรทั้ง 3 คน
แต่หลังจากที่หย่าร้างกันผ่านมา 2–3 ปี ฝ่ายอดีตสามีก็ยังไม่ยอมโอนตึกหลังดังกล่าวให้กับบุตรทั้ง 3 คน ตามข้อตกลงท้ายการหย่า แต่ยังเอาตึกหลังดังกล่าวไปทำภาระผูกพันกับทางธนาคาร เอาเงินมาหลายล้านบาท ตนเองเห็นว่าทางฝ่ายชาย (อดีตสามี) ไม่ได้มีเจตนาที่จะโอนตึกหลังดังกล่าวให้กับบุตรทั้ง 3 คนจริง
ทำให้ตนเองต้องฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดราชบุรีให้ทางฝ่ายชาย (อดีตสามี) โอนตึกหลังดังกล่าวให้เป็นชื่อบุตรทั้ง 3 คนตามข้อตกลงในท้ายการหย่า ซึ่งตนเองต้องบอกว่าไม่เคยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในผลประโยชน์ในทรัพย์สินของบุตรทั้ง 3 คน เพียงแต่ต้องปกป้องสิทธิของบุตรทั้ง 3 คนที่ควรจะได้เท่านั้น
เจ๊บิ๊ก ยังกล่าวในประเด็นนี้ว่า ก่อนที่จะเกิดคดีเรื่องที่กล่าวหาว่าตนเองไปเป็นผู้จ้างวานฆ่านั้น ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ทางฝ่ายอดีตสามี โดนตึกหลังดังกล่าวให้เป็นชื่อบุตรทั้ง 3 คน แต่ทางฝ่ายอดีตสามียังใช้สิทธิอุทธรณ์อยู่ แต่ปัจจุบันศาลอุทธรณ์ได้ยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น ต้องให้ฝ่ายชายโอนตึกหลังดังกล่าวให้กับบุตรทั้ง 3 คน ซึ่งก็ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลย เพราะตนก็ไม่คิดว่าจะเอาทรัพย์สินใดๆ ต้องการยกให้เป็นชื่อลูกเท่านั้น
ในส่วนเรื่องคดีที่ทางอดีตสามีถูกทำร้าย ตนเองต้องบอกว่าน้อยใจในเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องเลย แต่ต้องมาตกเป็นจำเลยในคดีนี้และจำเลยต่อสังคม และตนเองต้องถูกให้เข้าไปอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพฯ ยาวนานถึง 1 ปี 5 เดือน 12 วัน ทำให้ตนเองเสียสุขภาพจิต เสียอิสรภาพ และเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้กระทำความผิดใดๆ
เจ๊บิ๊ก เล่าอีกว่า ตนเองก็ขอบคุณทุกกำลังใจจากชาวบ้านโป่ง และจากครอบครัวที่เข้าใจตนเอง หลังจากที่ศาลตัดสินยกฟ้องคืนความบริสุทธิ์ให้กับตนเอง ตนก็กลับมาบ้านใช้ชีวิตตามปกติ เปิดร้านทองจำหน่ายทองให้กับลูกค้าชาวบ้านโป่งตามปกติ เพราะตนเองมาจากครอบครัวที่เปิดร้านทองตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่ ทุกวันนี้ครอบครัวเราก็ยังคงทำร้านทองที่ให้บริการลูกค้าทั้งในอำเภอบ้านโป่ง และที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งท้ายนี้ตนเองก็อยากจะฝากขอบคุณทุกๆ คนที่ให้กำลังใจ และลูกค้าทุกคนที่มาคอยอุดหนุนซื้อขายทองของที่ร้านทุกๆ ท่าน
ย้อนอ่านคำพิพากษาคดีจ้างวานพยายามฆ่าเสี่ยร้านทอง
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 63 ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีจ้างวานฆ่าเสี่ยร้านทอง หมายเลขดำ อ.1869/2562 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.อ.ภาคภูมิ หรือ ผู้กองหยอง อดีต รอง สวป.สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี, น.ส.เพชรรัตน์ หรือ เจ๊บิ๊ก ตั้งสิริเมธาพร อดีตภรรยา, นายสุนทร หรือ แต่ , นายผจุน หรือ วุ่น , นายธวัชชัย หรือ ต๋อง และนายวุฒิชัย หรือ กอล์ฟ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานจ้างวานให้พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้บาดเจ็บสาหัส และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490
โดยอัยการโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2562 ว่า เมื่อต้นเดือน เม.ย. 2562 - วันที่ 21 เม.ย.2562 ร.ต.อ.ภาคภูมิ และ น.ส.เพชรรัตน์ ได้จ้างวานให้จำเลยอีก 3 คน ใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด 9 มม.พร้อมกระสุนยิงนายอนุพันธ์ โดยมีเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนด้าน จำเลยจึงใช้ท่อนเหล็กแป๊บพันผ้าเทปสีดำ 3 ท่อน รุมตีที่ศีรษะและลำตัวนายอนุพันธ์ และนายชัชวาล คนใกล้ชิด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนหลบหนี เหตุเกิดบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
โดยศาลเบิกตัวจำเลยที่ 1-6 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ศาลวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยที่ 3-6 กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุคนร้ายจำนวน 4 คน ได้ดักทำร้ายนายอนุพันธ์ ผู้เสียหายที่บริเวณลานจอดรถห้างเทสโก้โลตัส ซึ่งนายสุนทร จำเลยที่ 3 ได้ใช้อาวุธปืนบังคับไม่ให้ลูกน้องของนายอนุพันธ์เข้าช่วยเหลือได้
จากนั้นจำเลยที่ 4-6 ได้นำท่อเหล็กรุมทำร้ายตีบริเวณลำตัวหลายครั้ง นานประมาณ 10 นาที ทำให้นายอนุพันธ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีสติครบถ้วนและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล จากผลการตรวจของแพทย์พบว่าบาดแผลผู้เสียหายบริเวณลำตัวและศีรษะ ไม่ถึงขั้นจะเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ ขณะที่ผู้เสียหายก็เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่ถึง 20 วัน
ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 4-6 ไม่ได้เจตนาจะทำร้ายให้นายอนุพันธ์เสียชีวิต เพราะตอนใช้ท่อนเหล็กตีตามลำตัวร่างกายไม่ได้มุ่งตีที่บริเวณศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญ จึงเชื่อว่าคนร้ายต้องการจะใช้ท่อนเหล็กตีสั่งสอนเท่านั้น
ส่วนจำเลยที่ 3 ใช้อาวุธปืนจี้ลูกน้องของนายอนุพันธ์ เพื่อไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือนั้น ก็ไม่ได้เจตนาจะยิงหรือฆ่าผู้อื่นทั้งที่มีโอกาสที่จะทำได้ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าฯ แต่การกระทำของจำเลยที่ 3-6 ยังคงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้บาดเจ็บสาหัสโดยมีอาวุธปืน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอีกว่า จำเลยที่ 4-6 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ข่มขืนใจผู้อื่นฯ หรือไม่ พยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยทั้งหมดได้ไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะมาก่อเหตุทำร้ายผู้เสียหาย และขณะนั่งรถมาด้วยกัน จำเลยที่ 4-6 รู้เห็นว่าจำเลยที่ 3 พกพาอาวุธปืนมาในกระเป๋าเสื้อ จึงถือว่าร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นและร่วมกันพาอาวุธปืน
ปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นต่อไปว่า ร.ต.อ.ภาคภูมิ จำเลยที่ 1 และ น.ส.เพชรรัตน์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 4-6 ให้การว่าได้รับคำสั่งจากนายทองแดง โดยการสนทนาผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ไม่รู้ชื่อ-นามสกุลจริง รู้เพียงผู้จ้างวานเป็นตำรวจ พยานหลักฐานไม่อาจเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของนายทองแดงว่าเป็นจำเลยที่ 1 ได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1
ส่วนจำเลยที่ 2 น.ส.เพชรรัตน์ ตั้งสิริเมธาพร หรือ เจ๊บิ๊ก นั้นไม่มีพยานหลักฐานใดบ่งชี้ข้อเท็จจริงได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจ้างวาน และการทำร้ายร่างกาย เป็นเพียงการคาดการณ์ของโจทก์เองเท่านั้น จึงให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และ 2
พิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้บาดเจ็บสาหัสโดยมีอาวุธปืน, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยจำเลยที่ 3-6 ให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 ปี 18 เดือน, จำเลยที่ 4 และ 6 จำคุกคนละ 3 ปี 18 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 4 ปี 20 เดือน นอกจากนี้ ให้จำเลยที่ 3-6 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 1.2 ล้านบาทเศษ ริบของกลาง และยกฟ้องจำเลยที่ 1-2
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ