ธนาธร แถลงโต้เจอคดี ม.112 ย้ำแค่วิจารณ์รัฐบาล แต่ถูกปิดปาก-โยนเป็นศัตรูสถาบันฯ
"ธนาธร" แจงการไลฟ์เฟซบุ๊กเป็นแค่ตั้งคำถามถึงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เดิมพันอนาคตประเทศ หวั่นฉีดช้ากระทบเศรษฐกิจ แจงตัวเองต้องการตรวจสอบบริษัทเอกชนที่ได้เงินภาษีประชาชนจากรัฐบาลเท่านั้น อัด "ประยุทธ์" ยกสถาบันฯ มากลบเกลื่อนความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงข่าวกรณีรัฐบาลแจ้งความดำเนินคดีตนเองจากการไลฟ์ในข้อกล่าวหาทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยระบุว่า หลังจากที่ตนออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวัคซีนพระราชทานนั้น ตนยืนยันว่าเป็นการสนับสนุนให้มีการเจรจาต่อรองกับผู้ผลิตวัคซีนบริษัทต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยมีวัคซีนใช้ให้ครอบคลุมกับประชากรให้ได้มากที่สุดและมีความรวดเร็ว พร้อมทั้งให้กำลังใจบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศที่กำลังดำเนินการจัดหาวัคซีนให้กับประเทศไทย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะจัดซื้อวัคซีนเพิ่มจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน ขณะเดียวกันประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีน ทั้งที่ประเทศอื่นได้มีการเริ่มกันไปแล้ว หากประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนและฉีดช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านก็จะเกิดความเสียหาย ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ
ท้วงจัดหาวัคซีนช้ากว่าเพื่อนบ้าน สังคมยังมืดมิด
นายธนาธร ระบุว่า ประเด็นที่ทำให้ต้องออกมาแถลงข่าว คือ 1. ประเทศไทยตอนนี้จัดหาวัคซีนโควิดที่มีความชัดเจนแล้วเพียง 21.5% ของประชากร โดยมาจากแอสตร้าเซนเนก้า 26 ล้านโดส จากซิโนแวค 2 ล้านโดส ซึ่งมีความพยายามขอซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้าเพิ่มเติม โดยมีมติ ครม. ออกมาแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง
2. ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เริ่มไปแล้ว ซึ่งเร็วที่สุดคือ ประเทศอิสราเอล รองลงมาคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และ
3. หลายประเทศทั่วโลกมีกลยุทธ์การจัดหาวัคซีนคือซื้อจากหลากหลายบริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ
"ถ้าประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน จัดหาได้น้อยกว่า รวมถึงฉีดวัคซีนได้ช้ากว่าจะเกิดอะไรกับเศรษฐกิจ เพราะวัคซีนเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จะทำให้เราหลุดพ้นจากเศรษฐกิจที่ชะงักงันที่เกิดจากโควิดได้ แต่ทว่าตอนนี้เรายังอยู่ในอุโมงค์กันอยู่ ตราบใดที่ไม่มีวัคซีนฉีดมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมได้ เราก็ยังคงมืดมิด เราก็ยังคงอยู่ในอุโมงค์" นายธนาธร กล่าว
ย้ำต้องตรวจสอบบริษัทเอกชนได้งบฯ จากรัฐบาล
นายธนาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เรามีดีลวัคซีนที่ทำกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและที่สำคัญคือมีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทเอกชนก็ย่อมเป็นองค์กรที่แสวงหากำไร สมมติว่าเราลองปิดชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ออกไป บริษัทนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมหาศาล จากเดิมที่ 600 ล้าน แล้วเป็น 1,400 ล้านบาท แล้วประชาชนจะไม่ควรตรวจสอบเลยหรือ ว่าดีลที่เกิดขึ้นนั้นมีความถูกต้อง ว่าดีลนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเงินสนับสนุนนี้มาจากภาษีประชาชนคนไทยทุกคน
สำหรับ 3 ดีลใหญ่ๆ ที่เหมือนจะเป็นก้อนเดียวกันนั่นคือ 1. ระหว่าง บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 2. ระหว่าง บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า กับ รัฐบาล และ 3. ระหว่างรัฐบาล กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ คือ 3 ก้อนใหญ่ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกัน แต่คือดีลเดียวกันที่มีการพูดคุยเจรจาร่วมกัน มีความเกี่ยวโยงกัน และที่สำคัญคือวัคซีนที่เรากำลังพูดถึงนี้มาจากภาษีประชาชน
"บทบาทของผมเอง ของพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงอดีตเพื่อนร่วมงาน คือ ส.ส.พรรคก้าวไกล เราทำเรื่องนี้ เราพูดเรื่องการเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนที่ชัดเจนมาก ผมพูดเรื่องการที่รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท คิงพาวเวอร์ ไม่รู้กี่ครั้ง หรือกรณีรถไฟฟ้าสายสีทองที่เอื้อให้กับเอกชนรายหนึ่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็เคยอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร การที่เราตรวจสอบการใช้ภาษีประชาชนไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งทำ เราทำมาตลอด และกรณีนี้เรามีความเชื่อว่า 3 สัญญาก้อนใหญ่ๆ ที่ได้พูดไปนั้น ไม่ได้เจรจาอย่างเป็นเอกเทศ เพราะเอกสารที่เรามีชี้ไปทางนั้นว่าไม่มีการคัดเลือก ไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถาม" นายธนาธร ย้ำ
ตั้งข้อสังเกตหวั่นเอื้อเอกชนเป็นการเฉพาะ ซัด "ประยุทธ์" ยกสถาบันฯ มากลบเกลื่อน
นายธนาธร ยังกล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อเราตั้งคำถามกับการที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนครอบคลุมประชากรน้อย ฉีดได้ช้า และรัฐบาลมีการเอื้อประโยชน์เอกชนรายใดรายหนึ่งเฉพาะหรือไม่ สิ่งที่ตนได้รับก็คือการถูกรัฐบาลฟ้องเอาผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอด เพราะถ้าย้อนไปดู จะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พยายามบิดเบือนประเด็นทุกครั้งเมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาด โดยยกเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มากลบเกลื่อนความไม่มีประสิทธิภาพของตนเองมาโดยตลอด อ้างความจงรักภักดี อ้างว่าตนเองปกป้องสถาบันฯ และเพราะเหตุนี้หรือไม่ คุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม จึงทำให้มีคนออกมาตั้งคำถามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในกรณีนี้ก็ชัดเจนว่าคนที่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดหาวัคซีนไม่ใช่ตน แต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง
ข้องใจตรวจสอบรัฐบาลถูกปิดปากเป็นศัตรูกับสถาบันฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างแถลงข่าว นายธนาธรได้เปิดคลิปการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่เป็นประธานการเซ็นจองซื้อวัคซีนโควิด โดยนายธนาธรระบุว่า คลิปดังกล่าวเป็นการแถลงข่าวเมื่อกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคำถามคือ การที่ตนเองตั้งคำถามต่อการใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่กลับถูกยัดเยียดคดีนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ใครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจะถูกใช้คดีปิดปากเรื่อยๆ อย่างนี้หรือไม่ เราในฐานะคนไทยซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับประเทศนี้ต้องหาทางออกร่วมกันว่าตกลงการวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นการไม่จงรักภักดี คือการเป็นศัตรูกับสถาบันฯ หรืออย่างไร ตนคิดว่าสังคมไทยทั้งสังคมต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้
ทั้งนี้ นายธนาธรยืนยันด้วยว่า การใช้คำว่าวัคซีนพระราชทานนั้นตนเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม หากแต่มีคนใช้คำนี้ก่อน ซึ่งสื่อมวลชนสามารถไปย้อนค้นดูได้ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเรื่องเอกชนไปก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
พร้อมกันนี้ นายธนาธร กล่าวถึงกรณีการครอบครองเรือยอร์ช โดยยืนยันว่าไม่รู้จักเจ้าของเรือ ซึ่งได้ทำการซื้อและจดทะเบียนอย่างถูกต้อง โดยเรื่องนี้มีความชัดเจนว่า มีการวางเพลิงให้เรือเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งปรากฏตามเอกสารหลักฐานที่ระบุชัด เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง จึงไม่อยากแจ้งความให้ดำเนินคดี ซึ่งระหว่างที่คิดว่าจะแจ้งความหรือไม่ ก็มีตำรวจเข้ามาในที่เกิดเหตุ และมีข่าวออกมาจึงมีคำถามว่ารู้ได้อย่างไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องการเมืองตั้งแต่ทราบว่ามีเพลิงไหม้ จึงตั้งใจที่จะไม่แจ้งความแต่ก็ปรากฏเรื่องดังกล่าวออกสู่สาธารณะ อีกทั้งเรือลำนี้ยังมีการแสดงบัญชีทรัพย์สินอย่างถูกต้องสามารถตรวจสอบได้ ยืนยันว่าไม่ได้ครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ป้องน้องชายถูกรัฐบาลดิสเครดิต
ส่วนกรณี นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของตนเอง ที่ปรากฏเป็นข่าวว่าจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จำนวน 20 ล้านบาทนั้น น้องชายตนเองมีเอกสารชี้แจงมาแล้ว เรื่องนี้เชื่อว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจที่พยายามกดดันตนเองให้หยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่พวกเราไม่ยอมแพ้ ขวัญกำลังใจพวกเรายังดี ขอยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลต่อไปอย่างเข้มแข็ง และขอขอบคุณกำลังใจจากประชาชนทุกคน