รวบ 50 ผู้ต้องหาโยง 2 โรงแรมในชัยภูมิ-ภูเก็ต ทุจริตเราเที่ยวด้วยกัน ทำรัฐเสียหายกว่า 100 ล้าน

รวบ 50 ผู้ต้องหาโยง 2 โรงแรมในชัยภูมิ-ภูเก็ต ทุจริตเราเที่ยวด้วยกัน ทำรัฐเสียหายกว่า 100 ล้าน

รวบ 50 ผู้ต้องหาโยง 2 โรงแรมในชัยภูมิ-ภูเก็ต ทุจริตเราเที่ยวด้วยกัน ทำรัฐเสียหายกว่า 100 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตำรวจแถลงจับเครือข่าย 2 โรงแรมในชัยภูมิและภูเก็ต ทุจริตโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" พบทำเป็นขบวนการใหญ่ ฉ้อโกงเงินของรัฐรวมกว่า 100 ล้านบาท

วันนี้ (27 ม.ค.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. นายเขมพล อุ้ยตระกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาส รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกำกับกฎเกณฑ์และกฎหมาย ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างขบวนการทุจริตโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งมีผู้ต้องหา 50 ราย หลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบปรามกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุด 

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้ได้แถลงผลการปฏิบัติงาน เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน สำหรับโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" เป็นโครงการที่มีประโยชน์ กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานในภาวะลำบาก แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งทุจริตซึ่งมีจำนวนมาก ทั้งนี้ ได้ออกหมายจับผู้ประกอบการที่อยู่ในขบวนการนี้ 2 ที่ใน จ.ชัยภูมิ มีหมายจับ 41 คน จับได้ 36 คน และ จ.ภูเก็ต จับได้ 14 คน

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหากสอบสวนพบว่ายังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติม จะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่ม เช่น ประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิในลักษณะทุจริต โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศ และเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่ จากการตรวจสอบถึงวันนี้ยังไม่พบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า จากการสืบสวนร่วมกันของ บก.ป. ศปอส.ตร. และ บช.ทท. พบผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการเข้าข่ายทุจริตหลายรูปแบบ เช่น เปิดให้มีการจองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง, นำคูปองที่ได้รับหลังเช็กอินห้องพักไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าแต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียนถูกต้อง แต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก หรือมีการตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด

โดยที่ จ.ชัยภูมิ ชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมแห่งหนึ่ง และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 41 ราย 38 จุด แบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย เจ้าของร้านค้า 22 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 14 ราย ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 1 ราย ทั้งนี้ มีการกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และศรีษะเกษ

ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 36 ราย ซึ่งพบว่ามีพฤติการณ์ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กมีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิโครงการจำนวน 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้องเต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาท์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน

นอกจากนี้ ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ รวมมูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมแห่งนี้ประมาณ 14,000,000 บาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 101 ร้าน ความเสียหายประมาณ 87,000,000 บาท

ทั้งนี้ พ.ต.อ.เอนก กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการโดยจะมีผู้ซื้อสิทธิตามหาซื้อสิทธิในโครงการ โดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้วผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" ก่อน จากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือจะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิ โดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้ว จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ ซึ่งหลังจากที่ผู้สวมสิทธิทำการเช็กอินตามห้องพักที่ได้ทำการจองไว้ ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม

พ.ต.อ.เอนก ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนที่ จ.ภูเก็ต ชุดปฏิบัติการของ กก.5 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าตรวจค้นโรงแรมแห่งหนึ่ง และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วยเจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 4 ราย มีประชาชนร่วมทุจริตรวมกว่า 800 ราย ผลการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหารวม 14 ราย มีพฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไป โดยโรงแรมจะร่วมมือกับผู้จัดทัวร์มีการเชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิจะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง

นอกจากนี้ ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็กอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดจำนวน 2 ร้านค้า ความเสียหาย 3.9 ล้านบาท

teaw-together-fraud-2

ในขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวเตือนว่า สำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนฯ และข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ ทั้งนี้ พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยังสำนักงาน ปปง. ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ส่วนใครที่ยังคิดจะทำในลักษณะนี้อยู่ ก็ขอเตือนให้หยุดกระทำ เพราะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงแรมอื่นยังมีอยู่แต่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด จะแบ่งมอบหมายให้แต่ละภาคดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังและ ททท.แจ้งมา

นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงไทยหลังจากตรวจพบความผิดและมีการอายัดตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2563 มีความเสียหายบางส่วน ส่วนเรื่องพฤติกรรมนั้นไม่แน่ใจว่าพบมานานหรือยัง จริงๆ พบมาเป็นหลักเดือน แต่ความชัดเจนเพิ่งพบเมื่อตอนสิ้นปี โดยมี 2 ส่วนที่พบความผิดปกติคือ โรงแรม และอีกส่วนคือประชาชนที่ใช้สิทธิ ส่วนที่เราอายัดไปมีจำนวนที่เสียหายไม่ได้มากนัก แต่มีผลกระทบกับโครงการ

นายพงษ์สิทธิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมูลค่าที่ตรวจสอบพบประมาณ 1,000 ล้าน แต่ไม่ได้เสียหาย เพราะว่ามีส่วนที่อายัด ต้องเอาสองส่วนมาประกอบกัน แต่ความเสียหายที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่ได้สิ้นสุด ส่วนกรณีที่มีการทุจริตเราสามารถตรวจสอบได้แต่ไม่หมด เพราะพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เราไม่สามารถเปิดเผยแผนประทุษกรรมได้ เดี๋ยวจะมีการเลียนแบบ นอกจากนี้ พื้นที่ภูเก็ตและชัยภูมิที่พบความผิดแล้ว ยังพบในส่วนของแหล่งท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองโดยส่วนใหญ่

ด้าน น.ส.สภัทร์พร กล่าวว่า อยากจะฝากเตือนสำหรับโครงการ "เราชนะ" เพราะหลักๆ โครงการเอาเงินเข้าแอปฯ "เป๋าตัง" เพื่อจะใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อย่าทำทุจริตเพราะระบบจะตรวจจับได้ว่าออกมาแบบไหน มันผิดวัตถุประสงค์และเงื่อนไขของโครงการ รัฐบาลสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook