โจ ไบเดน กับภารกิจจัดหา “วัคซีนโควิด-19” ให้ชาวอเมริกัน

หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เพียงไม่นาน โจ ไบเดน ก็ได้ประกาศ 3 ขั้นตอนสำคัญเพื่อยกระดับแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับคนในประเทศ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคที่ส่งผลให้สหรัฐมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมและเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก 

เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ไบเดนแถลงนโยบาย 3 ขั้นตอนของเขา โดยระบุว่า ในขั้นแรก คณะทำงานของไบเดนจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปฏิบัติการระดับชาติ ซึ่งทำงานรับมือกับปัญหาการระบาดใหญ่ของโรค รัฐบาลจะเพิ่มการขนส่งวัคซีนไปในรัฐต่าง ๆ ในแต่ละสัปดาห์ จากเดิม 6.8 ล้านโดส เป็น 10 ล้านโดส ขั้นที่สองคือ การขนส่งที่เพิ่มมากขึ้นจะทำให้แต่ละรัฐสามารถคาดการณ์จำนวนประชากรที่จะเข้ารับวัคซีนได้ในอีก 3 สัปดาห์ถัดจากนี้ และขั้นสุดท้าย รัฐบาลกลางจะทำการจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทโดมเดิร์นนาและไฟเซอร์-ไบออนเทค เพิ่มอีก 200 ล้านโดส เพื่อให้ทางการสามารถฉีดวัคซีนให้กับชาวอเมริกันได้ครบทุกคน ในช่วงปลายฤดูร้อน 

นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งที่ไบเดนได้ลงนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอยู่ในแผนการเรื่องโควิด-19 และวัคซีน โดยไบเดนได้ให้คำสัญญาว่าเขาจะทำทุกอย่างด้วยอำนาจของรัฐบาลกลาง เพื่อหาวัคซีนมาให้ชาวอเมริกัน 

รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัญญาว่าจะฉีดวัคซีนให้ครบ 20 ล้านเข็มภายในปี 2020 แต่สหรัฐก็ยังฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไม่ถึงเป้าหมาย แม้จะเข้าสู่ปี 2021 มาแล้วสามสัปดาห์ ปัญหาเรื่องวัคซีนลุกลามไปทั่วประเทศ ตั้งแต่วัคซีนมีไม่เพียงพอ จนถึงการทำลายวัคซีน 

สำหรับไบเดนแล้ว การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ก็เป็นความท้าทายทางการเมืองของเขาเช่นกัน การรับมือกับโรคโควิด-19 ไปพร้อม ๆ กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จะเป็นตัวตัดสินผลงานของเขา หากเขาทำไม่สำเร็จ ชาวอเมริกันจะต้องทุกข์ทรมาน และคงไม่ชื่นชอบรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ไบเดนได้ประกาศทุ่มเงินกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ นำสหรัฐกลับเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การนามัยโลกตามเดิม รวมถึงออกนโยบายให้สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ของรัฐบาลกลาง และควบคุมการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอีกด้วย 

• โจ ไบเดน เผย “มาตรการเยียวยาโควิด-19” วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
• ไบเดนประกาศสู้โควิด-19 “เต็มขั้น” บังคับสวมหน้ากาก เข้าสหรัฐต้องกักตัว
• ดร.เฟาชี โล่งอก! หลังสหรัฐจะไม่ถอนตัวจาก WHO พร้อมเข้าร่วมโครงการวัคซีน