เดือนแรกก็เหนื่อยแล้ว! รวมเหตุการณ์ “การเมืองสหรัฐ” ในเดือนมกราคม 2021

เดือนแรกก็เหนื่อยแล้ว! รวมเหตุการณ์ “การเมืองสหรัฐ” ในเดือนมกราคม 2021

เดือนแรกก็เหนื่อยแล้ว! รวมเหตุการณ์ “การเมืองสหรัฐ” ในเดือนมกราคม 2021
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แค่เดือนมกราคม 2021 "การเมืองสหรัฐ" ก็ดูหนักหนาสาหัสแล้ว เพราะหลังจากก้าวเข้าสู่ปีใหม่ไม่ทันไร ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในรัฐสภาสหรัฐ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 5 ราย และถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก ตามมาด้วยประชาชนชาวอเมริกันและทั่วโลกต้องโบกมือลาโดนัลด์ ทรัมป์ และอ้าแขนต้อนรับโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่อย่างเป็นทางการ

สหรัฐก็ดูจะเจ็บหนักจากเหตุการณ์ทางการเมือง แม้ปี 2021 จะผ่านไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้น Sanook รวบรวมเหตุการณ์ “น่าเซอร์ไพรส์” ที่ทำให้ปี 2021 นี้ จะเป็นอีกปีที่ทำให้การเมืองสหรัฐเป็นที่น่าจับตามอง 

6 มกราคม 

ถือเป็นเหตุการณ์ “สะเทือนขวัญ” ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ หลังจากผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าล้อมรัฐสภาสหรัฐและบุกเข้าไปด้านในอาคารในระหว่างการประชุมสภาคองเกรส เพื่อคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้ง ปี 2020 ซึ่งชัยชนะตกเป็นของโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต โดยก่อนจะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ที่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ได้กล่าวปราศรัยต่อผู้สนับสนุนของเขาที่มารวมตัวกันบริเวณรัฐสภา ซึ่งเชื่อว่าถ้อยคำปราศรัยของทรัมป์นี่เอง ที่เป็นตัวจุดชนวนความรุนแรงที่เกิดขึ้น 

AFP

หลังจากพังประตูเข้าไปในตัวอาคารรัฐสภาได้ สถานการณ์ก็เริ่มบานปลายจนเกิดเป็นการจลาจล โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปีนป่ายตัวอาคาร ฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา และทำลายทรัพย์สินของรัฐสภา ก่อนจะบุกเข้าไปถึงห้องประชุมได้สำเร็จ ทำให้ตำรจต้องยิงปืนขู่ผู้ชุมนุม พร้อมเร่งอพยพสมาชิกสภาคองเกรสออกจากอาคารรัฐสภาเพื่อความปลอดภัย ซึ่งในที่นี้ รวมถึง ไมค์ เพนซ์ ที่ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา 

เหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 5 ราย หนึ่งในนั้นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ความรุนแรง รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังพบว่าเธอเป็น “ทหารผ่านศึก” 

AFP

โดนัลด์ ทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากทั้งในประเทศและนานาชาติ รวมทั้งโดนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ก็ได้ปิดการใช้งานบัญชีของเขาเป็นการชั่วคราว และหลังจากโดนประนามอย่างหนัก ทรัมป์ก็ได้ออกแลงการณ์ว่าจะถ่ายโอนอำนาจอย่างเรียบร้อยให้กับไบเดน ในวันที่ 20 มกราคม แม้เขาจะไม่เห็นด้วยและจะไม่เข้าร่วมพิธีสาบานตนก็ตาม 

13 มกราคม

หลังเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 มกราคม สมาชิกผู้แทนราษฎรสหรัฐ ก็ได้มีมติถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ จากตำแหน่งประธานาธิบดี ในข้อหา “ก่ออาชญากรรมและประพฤติผิดขั้นสูง” หลังจากที่เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ยุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจลในรัฐสภา เพื่อขัดขวางการรับรองผลการเลือกตั้งของโจ ไบเดน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 5 รายและบาดเจ็บอีกหลายราย

AFP

การอภิปรายของสภาคองเกรสผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดสภาก็มีมติ 232 - 197 เสียง ถอดถอนทรัมป์ ซึ่งเป็นคะแนนจากตัวแทนพรรคเดโมแครตทั้งหมด และคะแนนจากตัวแทนพรรครีพับลิกันรวมอยู่ด้วยถึง 10 เสียง ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพรรคร่วมมือกันยื่นถอดถอนประธานาธิบดี ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐที่ถูกยื่นถอดถอนถึง 2 ครั้งในสมัยทำงาน 

AFP

เมื่อสภาคองเกรสลงมติถอดถอนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การส่งต่อไปยังวุฒิสภาเพื่อเริ่มกระบวนการไต่สวน โดยทรัมป์มีกำหนดขึ้นให้การในคดีการถูกถอนถอนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งต้องมีเสียงวุฒิสภาอย่างน้อย 2 ใน 3 เพื่อตัดสินว่าทรัมป์กระทำผิดจริง หรืออย่างน้อย 67 เสียง ซึ่งแปลว่า ต้องมีเสียงของสมาชิกพรรครีพับลิกันอย่างน้อย 17 คน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อ 

20 มกราคม 

โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้งานในครั้งนี้แตกต่างไปจากพิธีสาบานตนครั้งก่อน ๆ ที่มักจะเนืองแน่นไปด้วยประชาชนหลายแสนคนที่ไปร่วมเป็นสักขีพยานและต้อนรับประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศ โดยในปีนี้มีการรักษาระยะห่างทางสังคม และต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมกับการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา 

AFP

นอกจากไบเดนจะสาบานตนรับตำแหน่งแล้วแล้ว “คามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีหญิงผิวสีเชื้อสายเอเชียคนแรกของสหรัฐก็ได้เข้าพิธีสาบานตนด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พิธีสาบานตนในปีนี้ยังได้นักร้องดังอย่าง “เลดี้ กาก้า” มาขับร้องเพลงชาติสหรัฐ “อแมนดา กอร์แมน” กวีหญิงวัย 22 ปี อ่านบทกวีชื่อ “The Hill We Climb” และ “เจนนิเฟอร์ โลเปซ” ขึ้นแสดงในงานอีกด้วย 

หลังจากพิธีสาบานตน ไบเดนได้กล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี โดยเขากล่าวถึงชัยชนะของประชาธิปไตย และระบุว่าทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อเดินไปข้างหน้า ทั้งนี้ ก่อนจะถึงเวลาพิธีสาบานตน ทีมงานของไบเดนได้เปิดเผยแผนการทำงานในช่วง 10 วันแรกของเขา โดยให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องโรคโควิด-19 รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ และสิทธิของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น

AFP

อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ และเมลาเนีย ทรัมป์ ไม่ได้เดินทางมาร่วมพิธีสาบานตนตามที่เขาได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ แต่เขาเดินทางออกจากทำเนียบขาว และมุ่งหน้าไปยังรัฐฟลอริดา ซึ่งจะเป็นที่พำนักของเขาหลังจากหมดวาระประธานาธิบดี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook