ใครรับผิดชอบ? สาวซ้อนท้ายแฟนค้ายาบ้า ติดคุกฟรี 21 เดือน ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์
ศาลฎีกายกฟ้อง คดีสาวซ้อนท้ายแฟนค้ายาบ้า ไม่เกี่ยวข้องแต่ติดคุก 2 รอบเพราะไม่มีเงินประกันตัว รวม 21 เดือน
(7 ก.พ.64) ที่บ้าน ม.6 บ.โคกเพชร ต.ตระแสง อ.เมืองจ.สุรินทร์ นางพัชรพร อายุ 53 ปี และนายสมบัติ อายุ 51 ปีพร้อมครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน ได้ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญให้กับ น.ส.สุพรรณษา อายุ 25 ปี หลังศาลฎีกา มีคำพิพากษาตัดสิน น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ในคดียาเสพติด (ยาบ้า) ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น และมีความสุขของบรรดาญาติพี่น้อง ที่มาร่วมในพิธี
ขณะที่น.ส.สุพรรณษา ถึงแม้จะได้รับอิสรภาพแล้วก็ตาม สภาพจิตยังคงอยู่ในอาการย่ำแย่ เนื่องจากต้องถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลานาน โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้ออกจากเรือนจำวันไหน ซึ่งครอบครัวและญาติพี่น้องบอกว่า น.ส.สุพรรณษา มีสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปมาก หลังได้รับอิสรภาพกลับมา พบว่าอยู่ในอาการซึมเศร้า ไม่ค่อยพูดค่อยจา ต่างจากเมื่อก่อนที่เป็นคนร่าเริง ซึ่งทางครอบครัวอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลสภาพจิตใจและเยียวยาในสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับผู้บริสุทธิ์ด้วย
คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2561 น.ส.สุพรรณษา ซ้อนรถจักรยานยนต์กับแฟนหนุ่ม คือ นายศุภกิจ ที่คบกันได้ไม่กี่เดือน เพื่อไปทำธุระ แต่แฟนหนุ่มกลับพาไปส่งยาบ้า 41 เม็ด ให้กับสายตำรวจที่ล่อซื้อ ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ในความผิด ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งแฟนหนุ่มที่เป็นผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพ จึงถูกศาลตัดสินให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน และปฏิเสธว่า น.ส.สุพรรณษา บำเพ็ญเพียร นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ครอบครัวไม่มีเงินประกันตัว จนถูกคุมขังในเรือนจำกลางสุรินทร์ กว่า 8 เดือน ระหว่างสู้คดี โดยมีนายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความ อาสาเข้าไปช่วยเหลือทางกฎหมายฟรี เนื่องจากครอบครัว น.ส.สุพรรณษา มีฐานะยากจน จนศาลชั้นต้นตัดสินและได้รับอิสรภาพกลับคืนมา และต่อมาอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ฟ้องต่อ โดยศาลอุทรณ์ตัดสินมีความผิด สั่งลงโทษจำคุก 5 ปี 12 เดือน และปรับเงิน 5.6 แสนบาท ถ้าไม่มีเงินให้กักขังแทนเงินค่าปรับ
และต่อมานายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความอาสา คนเดิม ได้ทำเรื่องขออนุญาตฎีกา และศาลสุรินทร์ได้รับคำร้องส่งให้ศาลฎีกาและศาลฎีการับไว้พิจารณาคดีนี้ โดยระหว่างที่ศาลฎีการับเรื่อง น.ส.สุพรรณษา ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำตั้งแต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา เนื่องจากไม่มีเงินประกันตัว ระหว่างที่สู้ในชั้นฎีกา ล่าสุด ศาลฎีกามีดุลยพินิจตามพยานหลักฐาน อ่านคำพิพากษาตัดสินยกฟ้อง ว่าจำเลยไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิด เมื่อวันที่ 28 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่ง น.ส.สุพรรณษา ต้องติดคุกระหว่างต่อสู้ในชั้นฎีกา 13 เดือน รวม 2 ครั้งเป็นเวลา 21 เดือน
นางพัชรพร แม่ของ น.ส.สุพรรณษา กล่าวว่า ก็ไม่คิดว่าจะมีการอุทธรณ์ต่อหลังที่ศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องแล้ว และต้องอยู่ในเรือนจำถึง 8 เดือน ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้ไปฟังคำตัดสินอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 และได้ตัดสินจำคุก 5 ปี 12 เดือน ตนตกใจเป็นอย่างมาก พูดไม่ออก แล้วปรับอีก 5 แสนกว่าบาท ครอบครัวก็ยากจนไม่มีอะไรที่จะไปประกันตัวลูก ก็เลยต้องไปอยู่ที่เรือนจำ เคยไปร้องเมื่อตอนที่ลูกสาวเข้าไปครั้งแรกที่ยุติธรรมจังหวัด แต่ก็ไม่รับเรื่องให้ จนได้เจอกับทนายคำสิงห์และได้ปรึกษา ซึ่งทนายก็ได้ยื่นมือเข้าให้การช่วยเหลือฟรีโดยไม่ได้คิดค่าอะไร และได้ดำเนินการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกา จนศาลฎีกาท่านได้พิจารณาว่าไม่มีความผิด และได้รับการปล่อยตัวมาเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ดีใจมากขอบคุณท่านทนายที่ช่วยดำเนินการให้จนศาลท่านเมตตาให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดเวลาที่ลูกต้องอยู่ในเรือนจำ ได้รับผลกระทบหลายอย่าง ทั้งทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก รวมถึงเวลาที่เสียใป ซึ่งลูกเราไม่ผิดแต่ต้องไปอยู่ในเรือนจำ ก็อยากให้รัฐมีการเยียวยาลูกสาว และขอให้เห็นใจด้วย
ด้าน นายคำสิงห์ ชอบมี ทนายความอาสา ที่ยื่นมือเข้าช่วย กล่าวว่า ตนได้ไปพบกับพ่อแม่ของลูกความที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อขอยื่นเรื่องให้ช่วยเหลือในการจัดหาทนายความและเงินประกันตัวลูกความเพื่อออกจากเรือนจำ เนื่องจากตั้งแต่ลูกความถูกจับมาก็ถูกส่งเข้าเรือนจำ ไม่มีเงินประกัน เพราะครอบครัวมีฐานะยากจน และทางยุติธรรมจังหวัดก็ไม่ได้ยืนมือเข้าช่วยเหลือ ทั้งเรื่องของทนายความ เงินประกันในระหว่างสู้คดี ต่อมาตนได้ทำเรื่องเพื่อเข้าไปสอบถามลูกความในเรือนจำ จนมั่นใจว่าลูกความตนไม่โกหกแน่นอน และไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่ได้กระทำผิด ไม่รู้และไม่มีส่วนร่วมในการทำผิดในครั้งนี้ เพียงแค่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับแฟนที่เพิ่งคบหา ตนจึงตัดสินใจยื่นมือเข้ามาช่วยโดยไม่คิดอะไร
ระหว่างสู้คดีศาลชั้นต้นจนมีคำพิพากษา น้องต้องอยู่ในเรือนจำถึง 8 เดือน ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง หลังยกฟ้องทางอัยการได้มีการยื่นอุธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกลูกความตน 5 ปี 12 เดือน แล้วปรับอีก 5 แสนหกหมื่นกว่าบาท หากไม่มีเงินค่าปรับก็ให้กักขังแทน เมื่อฟังแล้วตนคิดว่าลูกความตนเป็นผู้บริสุทธิ์ จะต้องช่วยให้ถึงที่สุด ซึ่งโดยหลักคดีนี้ต้องห้ามฎีกา แต่ตนก็ได้ใช้เวลากว่า 4 เดือน ทำเรื่องยื่นฎีกาเข้าไป จนศาลจังหวัดสุรินทร์ได้รับเรื่องยื่นคำร้อง แล้วส่งให้ศาลฎีกาซึ่งศาลฎีกาก็รับเรื่องไว้พิจารณา
ตั้งแต่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ลูกความตนต้องอยู่ในเรือนจำถึง 13 เดือน ระหว่างต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา จนในที่สุดศาลฎีกาได้มีดุลพินิจพิพากษา เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ให้ยกฟ้อง จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำผิด ถือว่าลูกความตนเป็นผู้บริสุทธิ์
สิ่งที่ตนอยากจะสะท้อนให้เห็นว่า ลูกความตนได้ถูกจองจำในเรือนจำรวม 2 ครั้ง เป็นเวลาถึง 21 เดือน อยากจะให้หน่วยงานของรัฐได้เข้ามาเยียวยา โดยจ่ายไปตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน โดยผ่านกองทุนของจังหวัดมาเยียวยาในจุดนี้ ซึ่งตนก็จะพาลูกความไปยื่นหนังสือเพื่อขอรับเงินต่อไป ในส่วนที่รัฐจะเยียวยานั้นอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของภาครัฐ ซึ่งในคดีนี้หากไม่มีการยื่นฎีกาลูกความตนต้องติดคุกถึง 8 ปี