ผลสำรวจเผย “ทอม แฮงค์” เปลี่ยนมุมมองคนต่อโรคโควิด-19
ผลสำรวจเปิดเผยว่า มุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เปลี่ยนไป หลังจากที่นักแสดงรุ่นใหญ่ “ทอม แฮงค์” ป่วยด้วยโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2020 โดยบางคนมองว่าเป็นเรื่องจริงจังมากขึ้น
การสำรวจที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Health Communications ระบุว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน จำนวน 682 คน เกี่ยวกับทัศนคติที่มีต่อโรคโควิด-19 หลังจากมีข่าวว่าแฮงค์และภรรยาป่วยด้วยโรคโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว 90% รับทราบข่าวนี้ และเกือบครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เปิดเผยว่า มุมมองของพวกเขาที่มีต่อโรคระบาดดังกล่าวเปลี่ยนไปหลังจากที่ทราบข่าว
ผู้ที่เข้ารับการสำรวจส่วนใหญ่กล่าวว่า เมื่อได้ทราบข่าว พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าโรคนี้เป็นภัยคุกคามมากขึ้น และหนึ่งในนั้นระบุว่า รู้สึกวิตกกังวล เนื่องจากแฮงค์เป็นคนรวยและได้รับการปกป้อง แต่ยังสามารถติดเชื้อโควิด-19 ได้ เพราะฉะนั้น ใครๆ ก็ติดเชื้อได้เช่นกัน
“ถึงฉันจะไม่ได้รู้จักแฮงค์เป็นการส่วนตัว แต่ก็รู้ว่าเขาคือใคร ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัว ในขณะที่ฉันไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักชื่อผู้ที่ติดเชื้อคนอื่นๆ เลย” ผู้เข้ารับการสำรวจอีกคนหนึ่งกล่าว
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ว่า แฮงค์เป็นคนดังและเป็นมิตร มีคุณสมบัติที่เข้ากันได้กับทุกคน และอัปเดตเรื่องการกักตัวผ่านโซเชียลมีเดียตลอดเวลา ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับโรคโควิด-19
“สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ ข่าวนี้ทำให้เราเห็นว่า การแพร่เชื้อในชุมชนนั้นรุนแรงมาก และเราต้องระวังตัว ‘เดี๋ยวนี้’” ผู้เข้ารับการสำรวจอีกคนกล่าว “มันไม่ใช่แค่ข่าวเกี่ยวกับทอม แฮงค์ แต่เป็นข่าวเกี่ยวกับบุคคลสาธารณะที่กักตัวเองหลังจากที่ติดเชื้อ ทอม แฮงค์ เป็นบุคคลที่เราชื่นชอบ เพราะฉะนั้น การที่เรารู้ข่าวว่าเขาติดเชื้อก็เหมือนกับที่เรารู้ว่าเพื่อนหรือครอบครัวของเราติดเชื้อนั่นเอง”
ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยจึงชี้ให้เห็นว่า ในอนาคต การใช้คนดังอย่างแฮงค์ในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการรับมือกับความเจ็บไข้ได้ป่วย อาจเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ได้ผลและขจัดการให้ข้อมูลแบบผิดๆ ได้
เจสสิกา ไมริค หนึ่งในผู้วิจัย กล่าวว่า คนที่บอกว่าเชื่อข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจากคนดัง เพื่อน ครอบครัว หรือโดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะเชื่อคำพูดของแฮงค์ และมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดี
“ดังนั้น บุคลากรด้านสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ อาจจะต้องใช้คนดังเหล่านี้ในการส่งต่อข้อมูลให้ไปถึงประชาชน เนื่องจากหลายคนยังไม่เชื่อถือข่าวหรือนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ” ไมริคกล่าว