ศาลไม่ให้ประกันตัว ทนายอานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำแบงค์ คดี ม.112-ข้อหาอื่น

ศาลไม่ให้ประกันตัว ทนายอานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำแบงค์ คดี ม.112-ข้อหาอื่น

ศาลไม่ให้ประกันตัว ทนายอานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำแบงค์ คดี ม.112-ข้อหาอื่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลไม่ให้ประกันตัว ทนายอานนท์-เพนกวิน-สมชาย-หมอลำแบงค์ จากคดีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 และข้อหาอื่นๆ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑืนำตัวทั้ง 4 ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

วันนี้ (9 ก.พ.) ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา และพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระตามข้อหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวพวกจำเลยจะไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันอีก ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง

หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้นำตัวทั้ง 4 คนไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป

ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ผ่านมาของวันนี้ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงการสั่งคดีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาที่ 1-4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎร ว่า คดีมี 2 สำนวน เรื่องแรก (คดีชุมนุมเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 63) มีผู้ต้องหารายเดียว คือ นายพริษฐ์ ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112, ยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116 และชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งฟ้องทั้ง 3 ข้อหา

ส่วนอีกสำนวน (คดีชุมนุมเมื่อ 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์-สนามหลวง) กล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสี่ ในข้อหาตาม ม.112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ตาม ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาผ่านเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ทุกข้อหา

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงกรณีที่ผู้ต้องหายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมนั้น นายประยุทธกล่าวว่า พนักงานอัยการพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า พยานที่จะให้สอบเพิ่มเติม ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่ง เนื่องจากในสำนวนมีพยานหลักฐานทำนองเดียวกันเพียงพออยู่แล้ว ไม่ดำเนินการตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม หลังจากนี้ทางพนักงานอัยการจะนำผู้ต้องหาทั้งสี่ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา

อย่างไรก็ตาม หลังการให้ข่าวของนายประยุทธ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ซึ่งเดินเข้ามาฟังการแถลงด้วย ได้ถามกลับนายประยุทธ โดยย้ำถึงประเด็นตามหนังสือขอความเป็นธรรมว่าหลักสิทธิเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสากล ซึ่งนายประยุทธชี้แจงว่า ส่วนของงานโฆษกเป็นการนำผลการสั่งคดีของพนักงานอัยการมาเรียนต่อสื่อมวลชน ส่วนในสำนวนนั้นงานโฆษกไม่สามารถอธิบายได้ เพราะไม่ได้รับผิดชอบสำนวน และไม่แน่ใจว่าเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลหรือไม่

ขณะที่นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ส่งผลต่อมาตรฐานสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ต้องชี้แจงบรรทัดฐานการดำเนินงานขององค์กรอัยการว่าเป็นอย่างไร คดีนี้คือคดีการเมือง กระบวนการยุติธรรมสามารถปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้มากน้อยขนาดไหน

ขณะที่นายประยุทธตอบว่า ตาม ป.วิ อาญา มีหลักสันนิษฐานคนที่อัยการฟ้องเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิด และให้อัยการพิจารณาถ้าพยานหลักฐานพอฟ้องก็ฟ้อง ประเด็นที่พูดสามารถต่อสู้ในชั้นศาลได้

หลังจากนั้นนายพริษฐ์จึงกล่าวถึงพยานที่ให้สอบเพิ่มจะพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน พร้อมกล่าวโจมตีว่าองค์กรอัยการไม่เห็นความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออก

สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการคดีอาญา 7 ได้นำนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กับพวกรวม 4 คน มายื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาล โดยยื่นฟ้องรวม 2 สำนวน คือ คดีหมายเลขดำ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีระหว่างวันที่ 13-15 มิ.ย. 2563 นายพริษฐ์ ซึ่งเป็นแกนนำจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะบริเวณเวทีแยกคอกวัว โดยยุยงผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 5,000 คน ให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ ดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ ราชินี และองค์รัชทายาท ตาม ป.อาญา ม.112

ส่วนอีกสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำ อ.287/2546 พนักงานอัยการคดีอาญา 7 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์กับพวกรวม 4 คนเป็นจำเลย กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 พวกจำเลยซึ่งเป็นแกนนำ จัดให้มีการชุมนุมบริเวณ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และท้องสนามหลวง โดยมีผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 20,000 คน เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันฯ

ต่อมาศาลได้สอบคำให้การพวกจำเลยแล้วปรากฏว่า พวกจำเลยแถลงให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย โดยคดีดำ อ.286/2564 นัดวันที่ 15 มี.ค. เวลา 09.00 น. และคดีดำ อ.287/2564 วันที่ 15 มี.ค. เวลา 13.30 น.

ขณะที่ทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด ขอปล่อยชั่วคราวแกนนำทั้ง 4 คน แต่ศาลยกคำร้องตามที่นำเสนอไปแล้วข้างต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook