สธ.ปฏิเสธข่าวสื่อนอกรายงานต้นตอโควิดเกิดที่ไทย-หมอธีรวัฒน์ ยันค้างคาวมงกุฎมีทั่วเอเชีย

สธ.ปฏิเสธข่าวสื่อนอกรายงานต้นตอโควิดเกิดที่ไทย-หมอธีรวัฒน์ ยันค้างคาวมงกุฎมีทั่วเอเชีย

สธ.ปฏิเสธข่าวสื่อนอกรายงานต้นตอโควิดเกิดที่ไทย-หมอธีรวัฒน์ ยันค้างคาวมงกุฎมีทั่วเอเชีย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ปฏิเสธข่าวที่สื่อต่างประเทศรายงานว่าต้นตอเกิดโควิด-19 มาจากตลาดค้าสัตว์ที่จตุจักร ขณะที่ "หมอธีรวัฒน์" ยืนยันค้างคาวมงกุฎไม่ได้มีเฉพาะที่ไทย แต่กระจายอยู่เกือบทั่วภูมิภาคเอเชีย

วันนี้ (24 ก.พ.) นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีที่มีสื่อต่างประเทศรายงานข่าวว่าผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมทีมกับองค์การอนามัยโลก ระบุว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 มีต้นตอเกิดจากตลาดค้าสัตว์ที่จตุจักรของไทย ก่อนที่จะนำไปติดที่เมืองอู่ฮั่นของจีน ว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชี้ชัดในเรื่องนี้ ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเชื้อไวรัสเกิดจากสัตว์ประเภทใด รวมทั้งไม่มีข้อสรุปว่าเกิดขึ้นที่ประเทศจีนหรือไม่ ดังนั้น ต้องติดตามข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจน

ในส่วนของไทยนั้น กรมควบคุมโรค ทำงานร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างค้างคาวมงกุฎในไทยเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีการศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลา 20 ปี เพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน รวมทั้งโรคอุบัติใหม่ และโรคอุบัติซ้ำอย่างต่อเนื่อง ผลการวิจัยพบว่า

- ค้างคาวเป็นแหล่งรังโรคของเชื้อไวรัสหลายชนิด ซึ่งเชื้อไวรัสโคโรนาที่พบในค้างคาวมงกุฎมีรหัสพันธุกรรมที่มีความคล้ายคลึงกับเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงร้อยละ 91.58 แต่ไม่ติดต่อระหว่างค้างคาวสู่คน

- การไม่กินไม่ล่าสัตว์ป่า รวมทั้งค้างคาว เป็นการป้องกันโรคที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้ทำงานร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการควบคุมป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เพื่อเฝ้าระวังและค้นหาเชื้อโรคที่แอบแฝง รวมทั้งหารือแผนการกำจัดโรคระบาดของเชื้อโควิด-19 ในตลาดค้าสัตว์ป่า และกำหนดให้มีการทำความสะอาดตลาดค้าสัตว์เลี้ยง ค้าสัตว์ป่า 5 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น ตลาดจตุจักร ตลาดมีนบุรี และ ตลาดพุทธมณฑล เป็นประจำ แม้ว่าไม่มีหลักฐาน แต่ในฐานะที่ไทยมีระบบเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นและเราทำในเชิงป้องกันเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟชบุ๊กส่วนตัวว่า

"ไวรัสโควิด-19 ไม่ได่แพร่จากประเทศไทย

ต้นตอของ โควิด-19 ความจริงเป็นที่ระแคะระคายว่าจะเกิดตัวใหม่นี้ตั้งแต่ประมาณปี 2003 และ 2004 โดยนักวิทยาศาสตร์ประเทศจีนเข้าไปสำรวจค้างคาวที่แพร่เชื้อซาร์ส ปรากฏว่าคัางคาวเหล่านี้มีไวรัสหน้าตาคล้ายซาร์ส อยู่หลายตัว และเป็นที่กริ่งเกรงว่าน่าจะมีการควบรวมประกอบร่างกลายเป็นตัวใหม่ขึ้นมาอีก

การศึกษาในประเทศกัมพูชา โดยนักวิทยาศาสตร์สถาบันปาสเตอร์ โดยดูเชื้อไวรัสจากค้างคาวมงกุฎ (Rhinolophus) ที่สะสมได้ในปี 2010 พบว่า ค้างคาว R.shameli ก็มีเชื้อไวรัสที่มีลักษณะเป็นแม่พิมพ์หรือจะเรียกว่าเป็นตัวปั๊มของ โควิด-19 และรายงานนี้ตีพิมพ์ในปี 2020

ในปี 2012 ในประเทศจีนมีคนงานในเหมืองทองแดงเสียชีวิตด้วยปอดบวม 3 ราย ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร แต่คณะนักวิทยาศาสตร์เข้าไปสำรวจแล้วพบว่ามูลของค้างคาวที่ชื่อ R.affinis มีเชื้อคล้ายคลึงกับ โควิด-19 มากที่สุด โดยมีส่วนที่สามารถจับกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์ได้ ไวรัสตัวนี้จะเรียกเป็นตัวแม่ของโควิด-19 ก็ว่าได้ และตั้งชื่อเป็น RaTG13 ตามชื่อสายพันธุ์ของค้างคาว และตามสถานที่เมืองที่พบ (Tongquan) ตามด้วยเวลา

เช่นกัน ตัวอย่างที่ได้จากสัตว์ต่างๆ และมูลค้างคาวที่เก็บในช่วงปี 2013 ถึง 2014 และได้ตีพิมพ์ในปี 2020 จากการสำรวจ 70 แห่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามพบไวรัสโคโรนา ที่ไม่ใช่ โควิด-19 แต่เป็นไวรัสทั้งในกลุ่มอัลฟ่า เบต้า และแกมมา โดยพบได้ 58 จาก 70 แห่ง

ทั้งนี้ ในที่มีการขายหนูเป็นอาหารครบทั้ง 24 แห่งที่ตรวจและในสถานที่ที่เลี้ยงสัตว์ป่าประเภทสัตว์ฟันแทะ จะพบ 17 ใน 28 แห่ง และในที่ๆ มีค้างคาวและเก็บมูลมาทำปุ๋ยครบ 16 ใน 17 แห่ง ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่ามีไวรัสโคโรนาที่แม้ไม่ใช่ โควิด-19 แต่เตรียมพร้อมที่จะรับไวรัสโคโรนาที่เป็นแม่พิมพ์จากค้างคาว เข้ามาผสมควบรวมประกอบร่างใหม่ได้

และในปี 2020 ในประเทศจีนก็ยืนยันว่ามีไวรัสที่เป็นแม่พิมพ์หรือตัวปั๊มในค้างคาวมงกุฎ R malayanus และตั้งชื่อว่า RmYN02 จากมณฑลยูนนาน นอกจากนั้นก็พบว่าไวรัสในตัวลิ่นหรือตัวนิ่ม ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับไวรัสที่พบในค้าวคาว ในขณะเดียวกันก็ยังพบเชื้อไวรัสที่คล้ายคลึงใกล้เคียงกับ โควิด-19 มากที่สุด โดยมีท่อนที่สามารถจับกับตัวรับและเข้ามาติดเชื้อในมนุษย์ได้คือ RmTG13 และในปี 2020 รายงานจากญี่ปุ่นเองก็พบไวรัสที่เหมือน YN02 จากค้างคาว R.cornatus

ในประเทศไทยโดยศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่-กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และร่วมกับ Duke-NUS ของสิงคโปร์ ก็พบเชื้อไวรัสหน้าตาคล้ายเกีอบเหมือน YN02 ในค้างคาวมงกุฎ R.acuminatus ที่ฉะเชิงเทรา (Nature communication 2021) ตั้งชื่อเป็น RacCS203

ทั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์ทั้งไวรัสที่ได้จากการป้ายเก็บเชื้อจากทวาร รวมทั้งมีการเก็บเลือดหาลักษณะของการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อไวรัสด้วย และที่น่าแปลกก็คือถึงแม้ว่าลักษณะของไวรัสนั้นจะขาดท่อนที่จับติดกับมนุษย์หรือส่วนที่เรียกว่า receptor binding domain (RBD) ก็ตาม แต่เลือดของค้างคาวก็สามารถยับยั้งไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม โควิด-19 ได้ ที่มีส่วนของ RBD

การที่พบเชื้อไวรัสตัวแม่พิมพ์หรือตัวปั๊มแบบนี้ อย่าเข้าใจผิดว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศไทย เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยของค้างคาวสายพันธุ์นี้กว้างขวางไปหมดทั้งประเทศจีนและเอเชียกลาง พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เลยไปถึงอินโดนีเซีย

แต่ถิ่นของค้างคาว ที่ครองเชื้อคล้าย โควิด-19 นี้จะแตกต่างกับถิ่นของค้างคาวที่ครองเชื้อคล้ายซาร์ส การพบเชื้อในลักษณะนี้เป็นการตอกย้ำว่าในปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะมีการควบรวมประกอบร่างของไวรัสที่เป็นตัวปั๊มหรือแม่พิมพ์ที่พร้อมจะผสมรวมกับไวรัสอื่นที่อยู่ในตระกูลโคโรนาในสัตว์อื่นๆ

และทั้งนี้ แม้ตัว โควิด-19 เองก็ตาม ก็มีศักยภาพและความสามารถที่จะแพร่เข้าไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นทั้งหมา แมว เสือ ลิง ชะนีและมิ้งค์ ดังที่มีการฆ่าไปหลายล้านตัว และการที่จะเข้าไปในสัตว์อื่นนั้น ไวรัสจากคนเองต้องปรับเปลี่ยนหน้าตาเพื่อให้อยู่กับสัตว์ชนิดใหม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไวรัสที่อยู่กับสัตว์เหล่านี้มีรายงานทยอยตามกันมาว่าสามารถกลับเข้ามาติดมนุษย์ใหม่ได้

สิ่งที่มนุษย์โลกต้องเผชิญต่อจากนี้ เป็นสงครามเต็มรูปแบบระหว่างเชื้อโรคกับคน การหาไวรัสในสัตว์ต่างๆ นั้น อาจเป็นเรื่องรองแล้ว ทั้งนี้ จากการที่เราสำรวจไวรัสในสัตว์ป่ารวมทั้งค้าวคาวมา 20 ปีแล้ว พิสูจน์ยืนยันชัดเจนว่าไวรัสมีความสามารถในการผ่องถ่ายตัวเองจากสัตว์อมโรคโดยสัตว์ไม่มีอาการมายังสัตว์ชนิดอื่น และในที่สุดมาเข้าคน แล้วจากนั้นมีการติดต่อจากคนสู่คนด้วยกัน

สิ่งที่ต้องทำโดยรีบด่วน คือ ต้องมีความสามารถในการตอบโจทย์ว่า คนที่มีการติดเชื้อนั้นติดเชื้อจากอะไร เชื้อที่ติดนั้นเป็นเชื้อที่เรารู้กันอยู่แล้ว หรือเป็นเชื้อที่หน้าตาเปลี่ยนไป เช่นกลุ่มวาเรียนท์ของโควิด-19 หรือจะเป็นโควิดหน้าตาใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมกระทั่งถึงไวรัสในกลุ่มครอบครัวอื่นๆ ทั้ง 24 ครอบครัว เป็นต้น ซึ่งในที่สุดก็จะดาหน้าเข้ามาติดเชื้อในมนุษย์

และวิธีการตรวจนั้นต้องสามารถเข้าถึงได้ ตรวจได้รวดเร็ว จำนวนมาก และแน่นอนราคาจับต้องได้ และเมื่อทราบว่าเป็นเชื้ออะไร จะได้รักษาถูก ป้องกันได้ทันท่วงที จนกระทั่งถึงพัฒนายาและวัคซีนแบบใหม่ขึ้นมาได้ทันกาล

เมื่อนั้นเราถึงจะเสมอกับเชื้อในสงครามครั้งนี้แต่ยังคงไม่ถึงกับชนะเด็ดขาด"

อย่างไรก็ตาม นางสาวเทอา โคลเซน ฟิเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสชาวเดนมาร์ก ที่ร่วมลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่นกับทีมงานขององค์การอนามัยโลก เพื่อสำรวจหาต้นตอของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ว่า พาดหัวข่าวและบทนำในบทความหนึ่งของสื่อเดนมาร์ก ชื่อ โพลิติเคน ที่ระบุว่าตลาดค้าสัตว์ที่จตุจักรอาจเป็นต้นตอของโรคโควิด-19 เป็นการรายงานที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook