ครม.อนุมัติงบกว่า 6,387 ล้าน ซื้อวัคซีนโควิด 35 ล้านโดส สธ.จ่อเสนอใช้พาสปอร์ตวัคซีน

ครม.อนุมัติงบกว่า 6,387 ล้าน ซื้อวัคซีนโควิด 35 ล้านโดส สธ.จ่อเสนอใช้พาสปอร์ตวัคซีน

ครม.อนุมัติงบกว่า 6,387 ล้าน ซื้อวัคซีนโควิด 35 ล้านโดส สธ.จ่อเสนอใช้พาสปอร์ตวัคซีน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"อนุทิน" เผย ครม. อนุมัติงบกว่า 6,387 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิดจำนวน 35 ล้านโดส เพื่อให้เป็นไปตามแผนครอบคลุมประชากรในประเทศ เตรียมเสนอการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนต่อที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติวันจันทร์นี้ เพื่อแสดงความพร้อมและความปลอดภัยในการเปิดประเทศ

วานนี้ (2 มี.ค.) ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบชุดอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 จากกลุ่มบริษัท ปตท. ว่า ประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีนโควิดจำนวน 63 ล้านโดส ขณะนี้ได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับมาในระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา วัคซีนในส่วนที่เหลือจะถูกจัดส่งมายังจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 จะมีวัคซีนที่ผลิตในประเทศมาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางต่อไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการให้วัคซีนกับประชาชนในประเทศ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 6,387,285,900 บาท จัดซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 35 ล้านโดส

“ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าวัคซีนจะถูกจัดส่งให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างครอบคลุมทั่วถึงแน่นอน นอกจากจะครอบคลุมพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว จะครอบคลุมให้กับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ให้มีความปลอดภัยทุกคนตามหลักขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่า จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย ถือเป็นหลักการที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ทุกท่าน โดยเฉพาะคนไทยให้มีความปลอดภัย” นายอนุทิน กล่าว

สำหรับการเตรียมพร้อมรับการเปิดประเทศที่จะมีการเดินทางเข้าออกประเทศนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้หารือการจัดเอกสารรับรองการได้รับการฉีดวัคซีน ออกโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นเอกสารทางราชการที่แนบไปกับพาสปอร์ต เพื่อแสดงถึงความพร้อมของประเทศไทย ความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ที่ได้รับหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน ในเรื่องนี้จะเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ โดยในวันจันทร์นี้จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook