"อรชร เชิญยิ้ม" ตลกสู้ชีวิต เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว กว่าจะมีวันนี้ได้...ไม่ง่ายเลย

"อรชร เชิญยิ้ม" ตลกสู้ชีวิต เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว กว่าจะมีวันนี้ได้...ไม่ง่ายเลย

"อรชร เชิญยิ้ม" ตลกสู้ชีวิต เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว กว่าจะมีวันนี้ได้...ไม่ง่ายเลย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จัดเต็ม จัดแน่นให้ได้ร้องว้าว!! ตามสไตล์ของนักแสดงอารมณ์ดี อรชร เชิญยิ้ม ที่อยากให้ทุกคนที่อยู่ใกล้ได้รับแต่รอยยิ้มในทุกๆ ที่ไปตัวเองไปเยือน เช่นเดียวกันเมื่อได้มารายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ก็มาเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้าผม สร้างสีสันรอยยิ้มไปทั้งรายการ พร้อมกับเปิดใจแบบหมดเปลือกยอมรับแบบชัดเจนว่ามีความสุขมากในการเป็นสาวประเภทสอง ไม่สนกับคำบูลลี่ใดๆ แถมยังเอามาเป็นพลังบวก ส่วนครอบครัวที่ต้องดูแลลูกหลานมากมายนั้นไม่เคยคิดมองว่าเป็นภาระ แต่มันคือความรับผิดชอบ ถึงเหนื่อยแต่ก็มีความสุข

ย้อนกลับไปชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ?
"คือจริงๆ ครอบครัวมีลูกผู้ชายทั้งหมดสามคน ผู้หญิงสองคนแล้วก็ผู้ชาย คนที่สองกับคนที่สามตายเพราะว่ามี ภรรยา เราเลยคิดว่าถ้าเป็นผู้ชายแบบเขาก็คงจะตายเนอะ เลยเป็นผู้หญิงแบบนี้ดีกว่า (อันนี้เรื่องจริงแม้แต่พ่อตัวเองยังตายเลย)" 

แสดงว่าตั้งแต่ไหนแต่ไร คือเราเลือกแนวทางนี้ ?
"ตอนแรกก็ยังไม่แนวทางนี้เลยเพราะว่าคุณพ่อไม่ชอบ เขาไม่อยากในลูกเป็นแบบนี้ เพราะเขาอยากให้ลูกมีครอบครัว ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ ยังอยากจะแต่งงานคนเราคือ ถ้ามีชีวิตคู่ก็จะได้ดูแลกันตอนบั้นปลายชีวิต สรุปก็ไม่ได้ดั่งหวังเพราะว่าบ้านเราอยากจน เพราะว่าเราไม่มีเงินไปขอ พอผู้หญิงที่เราไปขอไปแต่งงาน เราก็เสียใจ"

เห็นว่าเมื่อก่อนเราหล่อจนถึงขั้นได้เป็นพระเอกลิเก ?
"คือ ตอนนั้นที่เราได้เป็นพระเอกลิเกยังเด็กมาก เราจบ ป.6 ด้วย ทำงานอายุ 14 เริ่ม 15 ได้เป็นพระเอก เพราะครอบครัวเรายากจน เราก็ต้องหาเงินช่วยครอบครัวเรา เพราะพอพี่ชายเขาแต่งงานเขาก็ย้ายออกไปอยู่ที่บ้านภรรยาเขา โดยที่เรากับน้องสาวอยู่กับแม่ เราก็คิดว่าเงินเราก็ไม่ค่อยมีเราก็เลยให้น้องสาวเรียนดีกว่าเราก็ออกมาทำงานหาเงินแบกปุ๋ยบ้าง หาบข้าวบ้าง 100 บาทกว่าจะได้เนอะ แต่กลายมาเป็นพระเอกลิเกเพราะเขาประกาศหารับสมัครเราก็รู้สึกว่าอยากทำเพราะว่าเราชอบลิเกชอบแต่งหน้าแต่งตา พอเราร้องกลอนได้จำกลอนได้แม่นเขาเลยให้เราเป็นพระเอกลิเก"

ได้เป็นถึงพระเอกลิเก แต่กลับไม่มีแม่ยก ?
"หลักฐานมันมัดแน่นขนาดนี้ที่ใบหน้า (หัวเราะ) คณะที่เราอยู่ที่แรกเลยคือ คณะน้านงค์ เชิญยิ้ม เราก็ไปอยู่ในคณะเขาเป็นพระเอก พอเราเล่นมาเล่นไปโจ๊กในคณะเขาไม่มี เพราะโจ๊กในคณะเขาไปรับงานเอง ตอนนั้นแรกๆ เลยเราชื่อทัด เขาก็บอกว่าให้เราเป็นโจ๊กให้หน่อย เราก็บอกว่าน้านงค์เป็นโจ๊กได้ยังไง นี่ยังเป็นพระเอกอยู่ น้านงค์แกก็บอกว่าจะเป็นพระเอกได้ยังไงดูหน้าสิ จมูกก็โต ตัวก็เตี้ย เราก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้จะให้คำตอบพอกลับบ้านไปก็นั่งร้องไห้หน้ากระจกว่าเขาดูถูกเรามากเลยนะ พอนั่งดูไปดูมาก็ที่เขาพูดมาก็จริงเหมือนกัน (หัวเราะ) เช้ามาก็ตัดสินใจว่า น้านงค์เป็นโจ๊กให้ก็ได้ ตั้งแต่นั้นมาเป็นโจ๊กแล้วค่าตัวดีขึ้น รางวัลดีขึ้นมีคนชอบเราเยอะขึ้น ได้เงินดีจากที่เราเริ่มแรกเลยได้เงิน 50 บาท แต่พอมาเป็นโจ๊กเราได้เงิน 1000 บาทเลย ตอนที่เราเป็นโจ๊ก (การแต่งตัวก็เป็นผู้ชายปกติ) แล้วก็มีคนมาชอบมีผู้หญิงมาชอบ แต่ใจของเราความรู้สึกเรายังต้องรับหน้าที่ดูแลครอบครัว จะมามีความสุขคนเดียวไม่ได้"

แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่ไปหลงรักนางเอกลิเก ?
"ตอนเป็นพระเอกลิเก ก็ไปเกี้ยวกันจะร้องเพลงคู่กัน ได้กอดได้อะไรเราก็รู้สึกว่าคนนี้คือคนที่ใช่ แล้วที่บ้านของเขาก็ทำเครื่องเสียงด้วยเราก็ไปช่วยเขาแบกลำโพง ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราชอบเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาชอบเราหรือเปล่านะเพราะเราไม่กล้าถามเพราะทุกเทศกาลหรือเราไปที่ไหนก็แล้วแต่เราจะซื้อของไปฝากเขาตลอด ทำให้เรามีความรู้สึกว่าพอเขาแต่งงานไปเราก็เสียใจ (เพราะตอนนี้เราจะไปขอเขาอยู่แล้ว ซึ่งพ่อก็จะไปขอให้ แต่แม่บอกว่าไม่มีเงิน) แม่ยื่นคำขาดว่า ถ้าจะให้แต่งก็ไปหาเงินไปขอกันเอง (ซึ่งถามว่าเป็นแฟนกันไหม ทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้) แต่เราก็ไม่อยากพูดถึงตรงนี้แล้วเพราะว่าเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว แต่ถือว่าเขาโชคดีที่ได้แต่งงานแล้วมีลูกมีครอบครัวที่ดี แล้วถ้าเราได้กับเขาเราคงไม่มีโอกาสได้มาตรงนี้

ที่บอกว่าเข้าใจที่เขาไปแต่งงาน แต่ก็เสียใจมากถึงขนาดที่กินยาฆ่าตัวตาย ตอนนั้นอารมณ์ไหน ?
"คือเราไปเห็นเขาเดินจูงมือกันไปไหว้พระ ช่วงที่เราเล่นลิเกอยู่ ตอนนั้นเป็นฉากร้องไห้พอดีเลยเราอินก็กลับบ้านเลย พ่อกับแม่ยังดูลิเกกันต่อ พอถึงบ้านเราก็กินยาฆ่าตัวตายเลย เรารู้สึกว่าเหมือนเราอาย ก็ผู้ชายเนอะเหมือนโดนเหยียบหน้าเลยอาย แต่พอพ่อกับแม่กลับมาถึงบ้านเห็นเราน้ำลายฟูมปากก็พาเราส่งโรงพยาบาลไปล้างท้อง แล้วตั้งแต่นั้นพยาบาลก็พูดสอนเราว่าดูมีใครบ้างที่รักเรามีพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไปยืนร้องไห้ จากนั้นเราก็ตัดสินใจออกจากบ้าน ทิ้งงานลิเกไปเลย คือหนีมาเล่นลิเกในกรุงเทพฯ แล้วก็มาเจอน้ากล้วย

การหนีออกจากบ้าน คือ จุดเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตของ อรชร ?
"เปลี่ยนเส้นทางเหมือนเปลี่ยนชีวิตให้เราเลย ไม่ได้รู้จักน้ากล้วยมาก่อนเลย คือเรามาเล่นลิเกแล้วน้ากล้วยเขามาตามหานางเอกลิเกเพื่อที่จะเอาไปอยู่ในคณะเขา แล้วบังเอิญมาเจอเราเพราะนางเอกลิเกคนนี้เราไปอาศัยเขาอยู่ เขาก็ชวนนางเอกไปแล้วเขาเห็นเราเลยเอาเราไปด้วยเป็นตัวแถม เราก็ไปกับเขาก็ถามเราชื่ออะไร ทับทิมทอง เป็นชื่อที่น้านงค์ตั้งให้ น้ากล้วยบอกว่ามาอยู่กรุงเทพใช้ชื่อนี้ไม่ได้ เขาก็ถามว่าเราเป็นไหม เราก็บอกว่าก้ำกึ่งค่ะ น้ากล้วยเขาก็ตั้งชื่อให้เราว่าอรชรแล้วกัน พอเราไม่ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงจะไม่ค่อยมีชอบ แต่พอเราแต่งตัวเป็นผู้หญิงเป็นนางโกงก็มีผู้หญิงมาชอบชวนเราไปกินข้าวด้วยกัน แล้วตั้งแต่นั้นมาเราก็รู้สึกว่าถ้าเราเป็นแบบนี้เข้ากับคนได้ง่าย ได้เงินก็เยอะแล้วน้ากล้วยก็ผลักดันเราพาไปออกรายการก้ได้เจอพี่หม่ำ เราก็ได้เล่นหนังของพี่หม่ำด้วย เลยทำให้เป็นที่รู้จัก เพราะว่าเราเป็นผู้ชายมันไม่ขึ้น"

หลายคนคิดว่าเป็นพี่น้องกับน้ากล้วย เพราะหน้าตาเหมือนกันมาก ?
"คืออยู่กับน้ากล้วย มา 17 ปี หน้าตาคงจะกลมกลืนคล้ายเหมือนกันไปหมด"

อรชร เชิญยิ้ม

สรุปอีกครั้งหนึ่งเป็นหรือไม่เป็น ?
"เป็นค่ะ เป็นเลยดีกว่า หาเงินได้ดี แล้วก็สวย"

บางช่วงบางตอนมีความแมนเกิดขึ้นในตัวจนกระทั่งมีครอบครัว แต่งงาน มีลูกสาว แสดงว่าเรามีช่วงที่สับสนอยู่หรือเปล่า ?
"มันไม่ได้สับสน เราเจอเขา คือเขาดีกับเราจริงๆ ไม่เคยมีใครดีกับเราขนาดนี้ เขาดูแลเรา แล้วอีกอย่างเขามีอันจะกินด้วยเนอะเขาคงจะช่วยเหลือครอบครัวเราได้ (แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปไม่ได้) เราก็หาเองดีกว่า ในที่สุดเราก็แยกกับเขาซึ่งก็มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน"

พอลูกสาวรู้ว่าเราเป็นแบบนี้เขาว่ายังไง ?
"จะสื่อสารทางแม่มากที่สุดเพราะเขาจะคุยกับย่าเขา ก่อนพ่อเสียเขาก็พูดแล้วว่าใครอย่ามาว่าลูกเป็นตุ๊ดนะเพราะทุกบาททุกสตรางค์ที่มีกินมีใช้เพราะตุ๊ดนะ เราก็ดีใจที่พ่อพูดแบบนี้ ซึ่งก่อนที่พ่อจะสิ้นลมเราก็บอกเขาว่าไม่ต้องห่วงแม่หรือที่บ้านเราจะเป็นคนที่ดูแลเอง ตั้งแต่นั้นมาใครจะว่ายังไงไม่สนเพราะเราทำงานได้เงินมาเราก็ส่งให้ที่บ้านอย่างเดียว เราก็ทำบ้าน ไถ่ที่ที่พ่อไปจำนองขายแล้วเราก็มาซื้อแล้วมาปลุกใหม่เพราะลูกหลานเยอะ แล้วลูกสาวก็จะถามตอนที่เขาเด็กๆ ว่าพ่อทำไมต้องแต่งตัว ทำไหมต้องแต่งตา เราก็บอกว่าทำไมต้องถามอะไรมากมาย เพราะจากที่ดูแล้วลูกเขาไม่ได้มาทางเราเวลาเขาเดินคือแมนมาก"

"ถามว่าความใกล้ชิดเราจะไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา เพราะเราจะส่งเงินไปที่บ้านอย่างเดียว แล้วแม่เราก็จะสอนหลานว่า ถ้าไม่มีพ่อเราไม่มีกินเลยนะ พ่อทำงาน ที่พ่อไม่กลับมาเพราะว่าพ่อหาเงิน เราก็รู้ว่าเขาพยายามจะโทรคุยกับเราแต่เราก็โทรหาแม่ถามว่าลูกอยู่ไหม อยู่เราก็จะคุย แต่มีวันหนึ่งที่เราโทรไปตอนที่เขากำลังกลับจากเรียนพอโทรไปเขาก็รับ แล้วเขาก็กลับมาบอกย่าว่า ย่าตื่นเต้นมากพ่อเรียกหนูว่าลูก ชีวิตประจำวันของเราก็จะอยู่กับลูกๆ หลานๆ บางคนเรียก ตา ลุง พ่อ มีใหม่มาอีกคนเรียก ปู่ ซึ่งคนที่เราเลี้ยงมาก็บอกว่าบางคนที่ทำงานได้ก็ไปทำงานเลยไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวทางนี้เราจะดูแลเอง เพราะเราก็ต้องดูแลเพราะว่าเขาเป็นผู้หญิงกันถ้าสมมติว่าเราไม่เอามาเลี้ยงมาดูแลก็ผู้หญิงเราก็เป็นห่วง"

เหนื่อยไหม ?
"ถามว่าเหนื่อยไหม ไม่เคยคิดว่าเหนื่อยเลยทุกคนจะพูดว่าภาระ เราจะบอกว่าไม่ใช่ค่ะ นี่คือหน้าที่ของเราเพราะว่าเรารับปากพ่อแล้ว อะไรที่เราทำได้ทำและเราก็มีความสุขที่เราได้ทำ"

เคยมีเดือนที่เราชักหน้าไม่ถึงหลังไหม ?
"มี แต่ก็จะมีโปรดิเซอร์เขาโทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้างช่วงโควิดมีไหม เราก็บอกว่ายังพอมี แล้วก็จะมีสุภาพบุรุษคอยถามเคยเป็นกำลังใจให้เราว่าสู้ๆ นะ" 

ตอนนี้มีคนรู้ใจหรือยัง ?
"เรารู้ใจเขาแต่เขาจะรู้ใจเราหรือเปล่า ทุกวันนี้ เราคิดแค่ขอมโนไว้ดีกว่า เพราะมโนไม่เสียเงิน ว่าเราชอบคนนี้ อะไรอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ยุ่งกับใครเลย แล้วก็เคยมีเด็กโทรมาหาเราในเฟสซซึ่งเขาก็หน้าตาดีมาก เราก็คุย เขาก็เราว่าเราน่ารักมากเลยผมชอบพี่ เราก็นึกในใจมันมีกระจกไหมนะ (หัวเราะ) พอคุยกันวันที่ 1 วันที่ 2 พอวันที่ 3 พี่ครับช่วยผมหน่อยรถผมจะโดนยึดตั้ง 7,500 เราก็ถามว่ามีอะไรอีกไหม แล้วเราก็ให้ฟังที่เราพูดบ้าง พี่ต้องส่งงวดรถ 21,000 ค่าบ้านอีก 12,200 ส่งเด็กเรียนอีก 4 คนอยู่ปี 2 พอเขาได้ฟังพูดก็บอกว่าชีวิตพี่แย่กว่าผมอีกนะ ตั้งแต่นั้นเขาก็หายไปเลย บางคนก็โทรมาขอเงิน เราก็บอกเขาว่าเธอฉันจะไปเอาเงินที่ไหนให้งานฉันยังไม่มีเลย เราก็จะรู้ว่าคนที่รักเราคนใครก็ช่วงโควิดนี่แหละ ช่วงที่เราล่วงเลยเขาก็คอยเป็นกำลังใจให้เราก็มีอยู่คนหนึ่งที่เข้าวินที่สุด"

เป็นคนขยัน และสู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เจอมาตลอดก็คือการถูกบูลลี่ ?
"ที่เราเคยเจอก็คือเรื่องของครอบครัว คือเราช่วยเหลือเขาไม่ได้ เราอยากจะช่วยเขา แต่บางช่วงเราไม่มีงานเราเลยเครียดแล้วคิดมากตรงนั้น เรื่องอื่นไม่เคยคิดมาก"

ต่อให้ใครมาดูถูกหน้าตาเรา เราก็จะไม่สนใจ ?
"ไม่ค่ะ เพราะเขารักเราเขาถึงคุยกับเรา ถ้าเขาไม่ได้ติดตามดูเรา เขาคงไม่รู้ว่าเราสวย เราไม่ได้แคร์เลยปล่อยเขาเถอะ คำพูดของเขามันเหมือนบันไดเป็นเหมือนสะพานให้เราเดินต่อไปอีก ใครที่อยากติดตามสามารถติดตามได้ทาง เฟซบุ๊ก อรชร เชิญยิ้ม นะคะ"

สามารถชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ย้อนหลังได้ทาง ยูทูป : https://youtu.be/ABeUJ0UhVmU

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ

อัลบั้มภาพ 12 ภาพ ของ "อรชร เชิญยิ้ม" ตลกสู้ชีวิต เลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว กว่าจะมีวันนี้ได้...ไม่ง่ายเลย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook