แม่นอนกราบป้ายโรงพัก หลังตำรวจไม่รับแจ้งความ ลูกสาวถูกข่มขืน ผกก.แจงแค่เข้าใจผิด
ในโลกออนไลน์ มีการแชร์คลิปหญิงรายหนึ่ง กำลังนอนกราบป้ายโรงพักสถานีตำรวจภูธรชนบท จ.ขอนแก่น โดยระบุข้อความว่า
"ชาวบ้านในจังหวัดขอนแก่นขอความช่วยเหลือ หลังลูกสาวถูกชายลักพาตัวลูกสาวไปข่มขืนกระทำอนาจาร เข้าแจ้งความแต่ตำรวจไม่รับแจ้ง โยนไปให้โรงพักที่อยู่ติดกัน พอไปถึงกลับถูกไล่ให้ไปแจ้งโรงพักที่เดินทางมา สุดท้ายทำอะไรไม่ได้นอนกราบป้ายโรงพักร่ำไห้ร้องขอความยุติธรรม"
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง สภ.ชนบท จ.ขอนแก่น หลังทราบว่า ผู้หญิงในภาพที่ก้มกราบคือ นางยุ(นามสมมติ) แม่ของ นางสาวช่อ(นามสมมติ) อายุ 27 ปี หลังนางยุเข้าแจ้งความว่า ลูกสาวถูกข่มขืน โดยได้เข้าพบกับ พ.ต.ท.ศราวุธ แดนสุข สว.(สอบสวน) สภ.ชนบท โดยทางตำรวจได้พยายามอธิบายให้กับทางแม่ลูกและญาติๆฟังว่า สาเหตุที่ไม่รับแจ้งความนั้น เพราะผู้เสียหายได้ไปแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ไว้ก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (12 มี.ค.) ทาง สภ.ชนบท จึงได้มีการประสานไปยังทาง สภ.แวงใหญ่ โดยทาง สภ.แวงใหญ่ จะเป็นผู้ติดตามทำคดีดังกล่าวให้ ซึ่งทางตำรวจ สภ.ชนบท พยายามจะสื่อสารแบบนี้ แต่ทางแม่และญาติได้โวยวาย ยังไม่ทันได้เข้าใจกัน จึงเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
โดยทางญาติผู้เสียหาย ได้นำเบอร์โทรของผู้ก่อเหตุ ชื่อ "นายปิ๊ก" มามอบให้ตำรวจ ซึ่งหลังเจรจากับตำรวจในเรื่องการติดตามคดีนั้น ทางน้าสาวของผู้เสียหายได้ขอดูหลักฐานการโทรของทางสารวัตร ว่าได้โทรหาผู้ก่อเหตุแล้วจริงหรือไม่ แต่ทางตำรวจบอกเพียงว่าโทรจริง แต่นายปิ๊กไม่รับสาย พร้อมทั้งเผลอลบข้อความไปแล้ว ทำให้ญาติของผู้เสียหายไม่พอใจการทำงานของทางตำรวจ และได้โวยกลางโรงพักว่าเจ้าหน้าที่ที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับครอบครัว ก่อนที่น้าสาวจะกรีดร้องด้วยความโมโหและเสียใจ ออกจากโรงพักไปก่อนจะสลบลงบนถนนหน้าทางเข้าโรงพักประมาณ 5 นาที ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวญาติที่เป็นลมขึ้นรถไปส่งโรงพยาบาลชนบท ซึ่งทราบภายหลังว่าอาการหนักต้องส่งต่อโรงพยาบาลขอนแก่นในเวลาต่อมา
ขณะที่ นางสาวช่อ อายุ 27 ปี หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ชายดังกล่าว มาหลอกว่าจะพาไปกินข้าว ตนเองก็ตกลงไปด้วย แต่ชายดังกล่าวกลับพาไปที่บ้านแล้วข่มขืน พอค่ำแล้วตนเองอยากให้พากลับบ้าน แต่ชายดังกล่าวบอกว่ามันค่ำแล้วจึงไม่ได้ไปส่ง กระทั่งตำรวจโทรหาชายดังกล่าว และแม่กับน้าตามมาเจอ ก่อนพากลับบ้าน
โดยทางญาติได้ถ่ายคลิป ในวันที่ไปรับ นางสาวช่อ ที่บ้านนายปิ๊ก โดยได้ถามนายปิ๊กว่า ได้ข่มขืนนางสาวช่อจริงหรือไม่ ซึ่งนายปิ๊กในทีแรกว่าไม่ได้มีอะไรกัน แค่นอนกอดกันเฉยๆ แต่ต่อมาก็รับว่ามีอะไรกันจริงแต่เกิดจากความรัก
ด้านนางยุ แม่ของ น.ส.ช่อ กล่าวว่า ลูกสาวหายตัวไปเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 12 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา ต่อมาประมาณ 18.00 น. ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ กรณีลูกหาย ทางตำรวจจึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้ และบอกว่าจะติดตามหาลูกให้ ต่อมาหลังจากพบลูกสาว ก็ได้พาลูกสาวไปตรวจร่างกายตามที่ตำรวจ สภ.แวงใหญ่บอก แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแวงใหญ่ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลชนบท เพราะเกิดเหตุในเขต อ.ชนบท ไม่สามารถข้ามเขตได้
วันต่อมาจึงพาลูกสาวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลชนบท โดยหมอบอกว่าจะแจ้งผลในอีก 2 สัปดาห์ ก่อนจะนำใบตรวจร่างกายเบื้องต้นไปแจ้งความที่ สภ.ชนบท แต่ทางตำรวจไม่รับแจ้งความ บอกให้ไปแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ อีกทั้งทางตำรวจบอกกับตนเองว่า ลูกสาวอายุ 27 ปี บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนชายที่พาลูกไปนั้นอายุ 39 ปี ในทางคดีต้องเป็นผู้เยาว์ อายุ 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี จึงจะมีความผิด ซึ่งสิ่งที่แม่ต้องการคืออยากดำเนินคดีกับชายดังกล่าวที่ลักพาตัวลูกสาวไปกระทำการอนาจาร หลังจากที่ทางตำรวจไม่รับแจ้งความ แม่เสียใจมาก ออกมากราบที่หน้าป้ายโรงพักขอความยุติธรรมให้กับลูกสาว ให้กับครอบครัว เพราะไม่รู้จะทำวิธีไหนแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ชาญศิลป์ นาสูงชน ผู้กำกับการ สภ.ชนบท เผยกับทางผู้สื่อข่าวว่า กรณีแรก เรื่องลูกสาวหาย ทางตำรวจจึงลงบันทึกประจำวันเอาไว้ และบอกว่าจะติดตามหาลูกให้ ต่อมาหลังจากพบลูกสาว ผู้เสียหายก็ได้พาลูกสาวไปตรวจร่างกายเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 โรงพยาบาลแวงใหญ่ จากนั้นทางโรงพยาบาลแวงใหญ่ก็ได้แนะนำให้ผู้เสียหายไปแจ้งความที่ สภ.ชนบท เพราะพื้นที่ที่ถูกข่มขืนอยู่ในเขตพื้นที่ สภ.ชนบท
ทั้งญาติและผู้เสียหายจึงได้เดินทางมาที่ สภ.ชนบท วันที่ 13 มีนาคม 2564 เพื่อเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ศราวุธ แดนสุข สว.(สอบสวน) สภ.ชนบท ซึ่งภายหลังจากมีการแจ้งความก็ได้มีการส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลชนบท จากนั้นร้อยเวรก็ได้มีการประสานกับ สภ.แวงใหญ่ เนื่องจากทางญาติได้มีการเล่าให้กับร้อยเวรฟังว่าได้มีการแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ ก่อนหน้านี้แล้ว ก็พบว่าที่ สภ.แวงใหญ่ได้มีการนัดพูดคุยระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่ายวันที่ 16 มีนาคม 2564 จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการชี้แจงกับทางญาติว่าการดำเนินการจะเป็นทางแวงใหญ่ดำเนินการต่อให้เพราะว่าผู้เสียหายนั้นได้แจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ ส่วนของเอกสารการตรวจร่างกายทาง สภ.ชนบทก็จะมีการส่งต่อไปที่ สภ.แวงใหญ่ให้ และมีการเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว แต่ทางญาติก็เข้าใจผิดคิดว่าตำรวจไม่รับแจ้งความ