"ติ๊ก กนิษฐรินทร์" ร่ำไห้ เปิดใจคิดถึงลูก ผ่านมา 9 เดือน ประสบการณ์สอนเยอะมาก
ได้เจอกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว พ่อแม่ลูก อีกครั้ง สำหรับนักแสดงสาว ติ๊ก กนิษฐรินทร์ หรือ ติ๊ก บิ๊กบราเธอร์ อดีตภรรยาของ หนุ่ม ศรราม เพราะหลังจากที่ตัดสินใจหย่าขาดกันไป แต่ก็ยังคงทำหน้าที่พ่อและแม่ที่ดีให้กับ น้องวีจิ อยู่เสมอ
ล่าสุด ติ๊ก กนิษฐรินทร์ ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนถึงโมเมนต์สุดอบอุ่นที่เกิดขึ้น พร้อมเล่าทั้งน้ำตาว่าตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่แยกออกมา ไม่มีวันไหนเลยไม่คิดถึงลูกสาว อีกทั้งประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้เจอยังสอนอะไรให้กับตัวเองได้อย่างมากเลยทีเดียว
เป็นยังไงบ้างที่ผ่านมามีโอกาสได้เจอน้อง ?
"ก็ดีใจค่ะ เอาจริงๆ ติ๊กต้องบอกก่อนว่าการที่เราทำผิดพลาดมา แล้วเราได้รู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง แล้วพี่เขาก็สบายใจขึ้นไว้วางใจติ๊กมากขึ้น อย่างที่พี่ๆ เห็นเมื่อก่อนได้เจอลูกยากมาก เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าเรานิสัยยังไง ปรับปรุงตัวแล้วหรือยัง หรือจะมีอารมณ์ยังไง แต่ว่าวันนี้เราได้เจอลูกอาทิตย์ละครั้ง ติ๊กก็ดีใจ แฮปปี้ คนเป็นแม่เนอะ เฝ้ารออยากจะกอดลูกทุกวันแหละ ก็ได้เจอวันที่เราสะดวก และพี่เขาสะดวกค่ะ"
"ติ๊กจะบอกแบบนี้ว่าบางทีพี่หนุ่มงานก็เยอะ แต่เมื่อก่อนติ๊กงานไม่ค่อยเยอะ เวลาที่ได้เจอลูกก็จะเจอพี่หนุ่มได้น้อยครั้ง เวลาเราจะคุยกัน ปรึกษาหารือในการตกลงในการเจอลูกพี่หนุ่มก็จะมาคุย และไม่ได้มีท่าทีที่ไม่ดีเลย เขาก็น่ารัก ไม่ได้อวยเขานะ เพราะว่าติ๊กคบกับเขามาเป็นสามี ภรรยา พี่หนุ่มเป็นคนดีในความรู้สึกของติ๊กนะ แต่ผิดก็ว่าไปตามผิด เราเคยผิดมาก่อน เพราะฉะนั้นความรักมันอาจจะลดลงไปและไม่เชื่อใจ เพราะว่าเราเป็นคนทำผิด แต่วันนี้ติ๊กก็ออกมายืดอก สารภาพความผิดว่าติ๊กได้ทำผิดอะไรไปแล้วบ้าง ติ๊กเลยต้องแลก"
"เรื่องลูกมันทรมานอยู่แล้ว แต่ถ้าติ๊กไม่แก้ไข ทำตัวแย่เหมือนเดิม ติ๊กอาจจะไม่ได้เจอลูก เพราะพี่หนุ่มเป็นคนที่รักลูกมาก แต่วันนี้เอาง่ายๆ ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรสบาย ยิ่งทำผิดพลาดมาแล้วด้วย ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการใช้เวลา อดทน ใช้เวลาแก้ไขตัวเอง อะไรที่ดีติ๊กทำ พูดดี คิดดี อะไรที่ไม่ดีติ๊กละเลิก วันนี้ต้องขอบคุณพี่ๆ จริงๆ ที่ผ่านมาหลายคนอยากสัมภาษณ์ติ๊ก ในช่วงเวลาที่ติ๊กไม่เข้มแข็งจริงๆ แล้วก็เวลาที่ติ๊กไปออกรายการ พี่ๆ ก็ตามไปสัมภาษณ์ แต่จิตใจยังไม่เข้มแข็ง อารมณ์สวิง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวพูดอะไรไป ดีหรือไม่ดี มันจะกลายเป็นว่าการเจอลูก การพิสูจน์ตัวเองแย่อีก แทนที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ติ๊กคิดไปเอง"
"แต่พอวันนี้ติ๊กเข้มแข็งแล้วทั้งกายและใจ ติ๊กคิดว่า 9 เดือนที่ผ่านมาได้พัฒนาตัวเอง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ วุฒิภาวะทางหน้าที่การงานติ๊กก็ทำได้ดี อันนี้ติ๊กมั่นใจ ติ๊กก็พร้อม ถ้าเรื่องไหนที่พี่ถาม วิเคราะห์แล้วว่าควรจะตอบ ตอบแล้วมีผลกระทบต่อบุคคลที่ 3 ติ๊กไม่ตอบ แต่ถ้าตอบแล้วไม่มีผลกระทบติ๊กจะตอบ แต่ถ้าเรื่องลูก เรื่องติ๊กตอนนี้มันเป็นสัญญาณที่ดีในการเจอลูกบ่อยขึ้นแล้ว เดี๋ยวถ้าเราทำอะไร พูดอะไรตามอารมณ์ไม่คิด ไม่วิเคราะห์มันจะกลายเป็นว่าแทนที่จะดีขึ้น มันจะแย่ลง"
ใจจริงอยากจะขอพี่หนุ่มให้น้องมานอนค้างคืนกับเราไหม ?
"อันนั้นเป็นสิ่งที่ฝันมาตั้งแต่วันแรกที่ออกมาจากบ้านแล้ว 7 วันรู้แล้วว่ามันโหยหาลูกมาก ลูกจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีอกของเรา (ร้องไห้) ลูกจะนอนผวาไหมถ้าไม่มือของเรา มันเซ้นซิทีฟนะคะ จริงๆ ไม่อยากจะร้องไห้แล้ว ถ้าพี่ๆ ถามเรื่องลูก มันเป็นแผลที่อยู่ในใจ แล้วที่ติ๊กไม่อยากให้สัมภาษณ์ มันจะกลายเป็นว่าเปิดแผลตัวเอง แล้วเราก็จะเจ็บเอง เลยไม่อยากให้สัมภาษณ์ แต่ว่าอยากนอนกับลูกตั้งแต่คืนแรกที่ออกมาแล้วนะคะ"
พอได้เจอลูกแล้วเป็นยังไงบ้าง ?
"ยิ่งเจอยิ่งทรมานค่ะ ตอนแรกเราคิดว่าการเจอแล้วจะดีขึ้น แต่มันไม่ใช่ มนุษย์ทุกคนเวลารวยแล้วก็อยากจะรวยเพิ่ม ติ๊กเป็นแม่คน ถ้ามันไม่ใช่คำว่าแม่มันจะไม่โหยหาเพิ่มค่ะ แต่วันนี้เราเป็นแม่คนแล้ว เมื่อก่อนเราเป็นลูกคน เราไม่มีกนอกความรู้สึกนี้ แต่วันนี้เราเป็นแม่คนแล้วนะคะ ยิ่งเจอยิ่งโหยหา ยิ่งเจอยิ่งคิดถึง"
ลูกเป็นกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อไป ?
"คือทุกสิ่งทุกอย่าง แรงเหวี่ยงให้เราสู้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นกระแสดราม่า หรืออะไรก็แล้วแต่ วีจิอยู่ในใจ ไปไหนก็เอากระป๋องนมไป จะบอกว่าเป็นงานแรกเลยที่มีสัมภาษณ์ ใจยังสั่น มันต้องมีอะไรของลูกมา เพราะว่า 9 เดือนที่ผ่านมาติ๊กยืนอยู่ได้เพราะวีจิเท่านั้น ติ๊กสู้ทุกอย่าง พยายามไม่เจ็บไม่ปวด พยายามต่อสู้ หางาน เก็บเงิน ไลฟ์ขายของเล็กๆ น้อยๆ ติ๊กเอาหมดเลย สู้ทุกอย่างเพราะวีจี เพราะฉะนั้นทุกอย่าง กำลังใจที่ทำให้ติ๊กดีขึ้นมาถึงวันนี้เพราะวีจิเลยค่ะ"
ขวดนมน้องพกติดตัวตลอด ?
"ขวดนมเอาไว้ที่บ้าน งานแรกต้องพกไปด้วย เพราะว่ามันเหมือนกำลังใจ พอมีเขาอยู่ หรือได้เห็นหน้าเขามันคือกำลังใจ มันคือสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่มาจากตัวติ๊กเอง ให้ติ๊กคำนึงว่า วันนี้ติ๊กยืนอยู่ตรงนี้ มีหน้าที่การงานที่ดีขึ้น มีผู้ใหญ่ที่เขากล้าให้โอกาสติ๊กมากขึ้น แต่เรื่องครอบครัวติ๊กก็ต้องวิเคราะห์ พิจารณาในการจะพูดหรือตอบ วันนี้ 9 เดือนแล้ว ถ้าเรายังพูดไม่รู้เรื่อง ตอบไม่รู้เรื่องอีก พี่ๆก็จะได้อะไรที่ไม่รู้เรื่องเหมือนตอนแรกๆ เพราะฉะนั้นติ๊กจะพูดอะไร ต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าพูดออกไปมันจะดีกับตัวเราเองไหม หรือว่ามันจะไปก้าวก่ายทำให้บุคคลที่ 3 เสียหายไหม หรือไปทำให้ใครเดือดร้อนหรือเปล่า เราก็ต้องคิดให้ดี"
พอเขาได้เจอเรา ลูกเขามาปฏิกิริยายังไง ?
"เขาก็จำได้ ตอนแรกติ๊กกลัว ด้วยความเป็นแม่ไม่ได้เจอลูกมานานก็เลยกลัวว่าลูกจะลืมเรา แต่ด้วยสัญชาตญาณของแม่ยิ่งเจอยิ่งมีความมั่นใจว่าลูกไม่ลืมติ๊กหรอก"
ปกติวิดีโอคอลคุยกับลูกทุกวันไหม ?
"ปกติคอลคุยทุกวันค่ะ แต่มีบางวันที่มีงาน วีจิจะตื่นเช้า ช่วงเวลา 5-6 โมงเป็นเวลาที่เด็กต้องกินข้าวนอน เราก็จะรู้ว่าเวลาไหนควรคอล เวลาไหนไม่ควร แต่ช่วง 3 วันที่ผ่านมาติ๊กค่อนข้างมีงานเยอะก็ไม่ได้คอล แต่ปกติจะคอลทุกวันค่ะ"
เรายังโหยหาความเป็นครอบครัวอยู่ไหม ?
"ความเป็นครอบครัวเหรอคะ เรื่องนี้ติ๊กไม่ได้คาดหวัง คิดว่าถ้าอะไรใช่คือใช่ ถ้าอะไรเป็นของเรามันก็เป็นของเรา แต่ถ้าอะไรที่ไม่ใช่เราจะไปคิดว่ามันใช่ของเรามันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นติ๊กคิดว่าทำดี คิดดี พูดดี แล้วก็อยู่ในส่วนของเรา ปฏิบัติแก้ไขให้ดี ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ทำหน้าที่การงาน ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน ดูแลตัวเองให้ดี เพื่อวันหนึ่งลูกโตขึ้นมานะได้ประคับประครองเขาได้ แล้วอย่ากลับไปผิดพลาดซ้ำๆ อีกก็พอแล้วค่ะ"
ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีไหม ?
"อันนี้ติ๊กไม่ทราบเลยค่ะ เอาจริงๆ นะ แล้วติ๊กก็เข้าใจว่าติ๊กโทษตัวเองมาตลอดที่ลูกต้องเป็นแบบนี้เพราะแม่ตัวเองผิดพลาด ที่พี่เขาต้องเป็นแบบนี้แล้วทำแบบนี้เพราะเราทำผิดพลาด ทุกอย่างมันจบแล้ว ติ๊กคิดแค่นี้ ไม่ต้องการเรียกร้องอะไรแล้ว ก็ขอให้มันเป็นไปตามวันและเวลาที่เหมาะสม ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ"
ได้มีปรึกษาเรื้องการเลี้ยงดูลูกบ้างไหม อย่างเรื่องการเข้าโรงเรียน ?
"ก็มีปรึกษาบ้างค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจหลักๆ เลยก็ให้พี่หนุ่มเป็นคนเลือกดีกว่า ติ๊กยังเคารพและรักเขาเหมือนเดิม เขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าติ๊กถึง 10 ปี ติ๊กเคารพการตัดสินใจทุกอย่างของพี่เขาค่ะ"
เล่าถึงโมเมนต์ตอนที่เจอกัน 3 คน พ่อแม่ลูก เป็นยังไงบ้าง ?
"ก็คุยกันแต่เรื่องลูก เรื่องส่วนตัวเราไม่ได้คุยกันมานานแล้วค่ะ และติ๊กก็เป็นคนที่รู้เรื่องว่าตอนนี้เราอยู่ในสถานะอะไร และเราเคยทำอะไรมาบ้าง ติ๊กแยกแยะออก เข้าใจ และรู้ว่าตัวเองควรจะอยู่ตรงไหน"
9 เดือนที่ผ่านมา เราได้ตกตะกอนกับการใช้ชีวิตยังไงบ้าง ?
"โหพี่ 9 เดือนที่ผ่านมาตอนแรกคิดว่ามันโหดร้ายมาก ทำไมต้องเกิดกับเรา แต่พอคิดไปคิดมาคือเราเป็นคนผิด ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่เราผิดจากใจจริงๆ จะได้สัจธรรมว่าการเป็นคนใหม่มันดีกว่าเดิม ได้แก้ไข ปรับปรุงตัวเอง ไม่ต้องคาดหวังอะไร ทำชีวิตให้ดีขึ้น ทุกข์ให้น้อย มีสัจจะ วาจา ตั้งเป้าหมายไปให้ถึง อดทนต่อสู้ เท่านั้นเอง และก็ไม่เบียดเบียนใคร"
พัฒนาการของน้องตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?
"วีจิคือพูดช้าแต่เดินเร็วมาก เดินขวบหนึ่งกับอีกหนึ่งเดือน ติ๊กมั่นใจว่าลูกติ๊กพูดได้ เพราะตอนอยู่กับติ๊กเขาก็พูดเป็นคำๆ แต่อารมณ์เขาเหมือนเป็นศิลปินไง ถามว่าเรียกแม่ได้หรือยัง ยังไม่ได้ค่ะ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คือทุกคนก็อยากจะฟังลูกเรียกคำว่าแม่แหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ซีเรียส วันนี้เราได้แค่ไหนเราเอาแค่นั้น อย่าเกินตัวมันจะเจ็บ เราแค่ตั้งใจทำวันนี้ให้ดี ตั้งใจทำงาน ทำโอกาสให้มันดีที่สุด แล้วเราจะไม่เสียดาย"
วันนี้คือตั้งหลักให้ตัวเองได้แล้วใช่ไหม ?
"อยู่ได้แล้ว คือวันนี้หนูแข็งแกร่งและเข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม หนูไม่ได้มีอคตินะ ใจหนูจะบอกกับทุกคนเสมอว่าหนูอยู่บนพื้นฐานของความรักในส่วนของตัวเอง ไม่พูดให้ร้ายใคร อะไรที่เราผิดก็โฟกัสที่เราผิด แค่นั้นก็จบแล้วค่ะ ต่อไปพี่ๆ ก็จะได้เห็นภาพของคนที่แก้ไขมันจะดีขึ้น ภาพของคนที่แก้ตัวพี่จะมองไม่เห็นอะไรเลย"
ตอนนี้ทำงานเก็บเงินอย่างเดียว ?
"ทำงานเก็บเงินอย่างเดียวค่ะ 50 บาทก็เก็บหมด หนูจะมีเงินฝากเข้าบัญชีลูกแบบไม่ถอน มันอาจไม่ใช่เงินเยอะมากเพราะต้องฝ่าฝันอุปสรรคมันยากมากเลยนะคะ วันนี้ 50 บาท 100 หรือ 200 บาท ก็เยอะมากแล้วค่ะ"
"หนูไม่อยากจะย้อนเรื่องหนี้เนอะ เพราะเคยพูดไปแล้ว ไหนๆ ตอนนี้มันก็ดีขึ้นแล้ว ให้มันเป็นพาร์ทที่หนูตั้งหลักหางานหาเงินได้ดีกว่า หนูเคยบอกไปแล้วว่าหนี้หมดแล้ว"
เราสัญญากับตัวเองเลยใช่ไหมว่าจะหันหลังให้กับสิ่งไม่ดีๆ ?
"หนูเคยพูดไปแล้ว ก็ไม่อยากพูดซ้ำๆ มันเหมือนเป็นการกรีดมีดลงบนแผลตัวเอง จากนี้ก็ขอทำงานเก็บเงินต่อไปค่ะ หนูมั่นใจว่าหนูจะเก็บเงินได้เยอะแน่ๆ เพราะหนูก็มีความสามารถ และเชื่อว่าความสามารถของหนูทำให้หนูหมดหนี้และรอดตายมาได้ ทำให้หนูมีที่นอนดีๆ มีข้าวกิน วันนี้มันดีขึ้นมากแล้วค่ะ"
เราก้าวผ่านเรื่องราวแย่ๆ มาได้ยังไง ?
"อันดับแรกเลยคือเราต้องยอมรับความผิดของตัวเองก่อน ไม่โทษอะไรเลย อย่าไปโทษอะไรทั้งนั้น การโทษอะไรคนอื่นมันจะแก้ที่ตัวเองไม่ได้ ติ๊กโทษตัวเองและยอมรับในความไม่ดีของตัวเอง และติ๊กก็ค่อยๆ แก้ไขทีละขั้น และอดทน ถ้าเราผ่านมันไปได้ชีวิตจะดีขึ้น หนูอยู่ตรงนี้ตรงที่มีแสงสว่าง ถ้าไม่แก้ไขสภาพมันจะแย่ลง วันนี้กับวันนั้นต่างกันมากเลย การตอบพี่ๆ นักข่าวก็ดูต่างกันมาก แสดงว่าหนูสู้และผ่านตรงนั้นมาได้ สอนตัวเอง ด่าตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง เคยติดโน้ตเต็มกระจกหมดเลยและค่อยๆ ทำทีละข้อ อันไหนทำได้ค่อยดึงกระดาษลง แต่มันมีกระดาษใบหนึ่งที่ดึงยากมาก ก็คือลูก หนูก็ยังติดเอาไว้เหมือนเดิมเพราะเราไม่สามารถทิ้งลูกได้ ทุกอย่างอยู่กับลูก และหนูมีทุกอย่างได้ก็เพราะวีจิ"
อัลบั้มภาพ 23 ภาพ