ตรีนุช สั่งลงดาบครูตีเด็กอนุบาล! เพิ่มมาตรการสกัดความรุนแรงทั้งใน-นอกสถานศึกษา

ตรีนุช สั่งลงดาบครูตีเด็กอนุบาล! เพิ่มมาตรการสกัดความรุนแรงทั้งใน-นอกสถานศึกษา

ตรีนุช สั่งลงดาบครูตีเด็กอนุบาล! เพิ่มมาตรการสกัดความรุนแรงทั้งใน-นอกสถานศึกษา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เสมา 1 สั่งลงดาบครูอัตราจ้างตีเด็กอนุบาล พร้อมทบทวนมาตรการสกัดความรุนแรงทั้งใน-นอกรั้วสถานศึกษา

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่มีครูโรงเรียนเเห่งหนึ่งใน ต.หนองขวาว อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ใช้ไม้บรรทัดตีศีรษะใบหน้าเเละด้านหลังของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ตนไม่นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าวและได้รับทราบรายละเอียดเบื้องต้นจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สุรินทร์ เขต 1 แล้ว โดยเบื้องต้นทราบว่าครูผู้ก่อเหตุเป็นครูอัตราจ้าง ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู จึงได้สั่งการให้ ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) ติดตามการให้ความช่วยเหลือนักเรียน และพิจารณาสั่งให้ครูคนดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที พร้อมทั้งติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก จึงได้ให้เลขาธิการ กพฐ. ซักซ้อมแนวปฏิบัติในการจ้างครูผู้สอน ว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตปฏิบัติการสอนเท่านั้น และกำหนดไว้ในสัญญาจ้างด้วยว่า ครูจะต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณผู้ประกอบวิชาชีพครู พร้อมทั้งเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า จะต้องปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยความเมตตา ไม่กระทำการรุนแรงต่อศิษย์ ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตาม

ทั้งนี้ รมว.ศธ. กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนกรณีที่นักเรียนชั้น ม.5.2 โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ถูกยิงที่ศีรษะบริเวณถนนเลี่ยงเมืองพิษณุโลก-สุโขทัย เนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรนั้น เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมด่วนกับเลขาธิการ กพฐ. เพื่อหารือถึงมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงทั้งในและนอกสถานศึกษา โดยเห็นว่าการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งนอกจากต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นธรรมเเล้ว จะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่อง “จิตวิทยา” ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักวิธีการแสดงออกที่ถูกต้องเหมาะสมต่อผู้อื่นและสังคม

พร้อมกันนี้ ตนได้หยิบยกนโยบาย Youth Counselor ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มาทบทวนการทำงานใหม่ โดยเพิ่มบทบาทของนักจิตวิทยาประจำสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ให้มีการทำงานเชิงรุกในสถานศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกันต้องให้สถานศึกษาจัดระบบการเฝ้าระวังดูแลนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรง รวมถึงการเข้าป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาการก่อเหตุรุนแรง

นอกจากนี้ จะมอบหมายให้นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ศึกษาทบทวนระบบการดูแลความประพฤติของนักเรียน นักศึกษา ในปัจจุบันว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด ควรจะมีการรื้อฟื้น “ระบบสารวัตรนักเรียน” ที่ยุบเลิกไป หรือจะมีระบบอื่นๆ ที่สร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

“จะมีความเด็ดขาดในการบังคับใช้กฎหมาย กฎระเบียบของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับกรณีอื่นๆ และสร้างความมั่นใจร่วมกันระหว่าง ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ต่อจุดเน้น เรื่องความปลอดภัยของผู้เรียนว่า การมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายของการพัฒนา หรือ Student Centricity ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรูปแบบการทำงาน "TRUST" จะต้องเริ่มจากการที่สถานศึกษาทุกแห่งมีความพร้อมที่จะเป็น "บ้านหลังที่สอง" ให้แก่เด็กๆ ทุกคน เพราะถ้าบ้านยังไม่ปลอดภัยแล้ว เราก็ไม่อาจที่จะพูดถึงการพัฒนาผู้เรียนในเรื่องอื่นๆ ได้อีกเลย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook