ทำไมเดวิดแห่งฟลอเรนซ์ผู้เป็นชาวยิวจึงไม่ขริบ
ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีเมื่อหลายปีก่อนเพราะปรารถนาที่จะได้มาเห็นถิ่นกำเนิดของศิลปะเรอเนสซองส์ที่ได้รับฉายาว่าเป็นกรุงเอเธนส์แห่งยุคกลาง
นอกจากนี้ภาษาอิตาลีที่ใช้พูดกันของเมืองฟลอเรนซ์ก็ถือว่าเป็นภาษาอิตาลีมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลายทั่วทั้งอิตาลีและอยากมาเห็นผลงานของ ไมเคิลแองเจโล (มิเกลันเจโล) ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ ผู้เป็นทั้งประติมากร จิตรกร และสถาปนิกคนสำคัญแห่งยุคเรอเนสซองส์ เขามีผลงานสุดยอดด้านประติมากรรมโดยเฉพาะงานแกะสลักหินอ่อนรูปปั้น "เดวิด" ที่ผู้เขียนเจาะจงมาชมถือเป็นงานประติมากรรมชิ้นเอกของโลก
หินอ่อนก้อนใหญ่มหึมาที่ทางเมืองฟลอเรนซ์ได้ซื้อมาเมืองคาราราได้เคยมีช่างแกะสลัก 2 คนพยายามแกะสลักหินชิ้นนี้มาก่อน แต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายหินอ่อนขนาดมหึมาชิ้นนี้จึงถูกวางทิ้งอยู่ที่ลานด้านหน้ามหาวิหารดูโอโมของเมืองฟลอเรนซ์ เป็นเวลาหลายสิบปีจึงค่อยตกถึงมือไมเคิลแองเจโล ซึ่งเขาใช้เวลา 3 ปี ในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้
ระหว่างทำงาน เขานำไม้มาล้อมปิดพื้นที่ทำงานของเขา เพื่อไม่ให้คนเข้ามายุ่งรบกวนระหว่างนั้นจึงไม่มีใครได้เห็นแม้แต่เค้าโครงของงานกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ จึงได้เผยโฉม "เดวิด" ผู้เป็นคนเลี้ยงแกะชาวยิวในพระคัมภีร์ไบเบิลที่ได้ขันอาสาไปต่อสู้กับนักรบร่างมหึมาของข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่ชื่อโกไลแอตจนได้รับชัยชนะ และต่อมาเดวิดจึงได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว
รูปแกะสลักหินอ่อนเดวิดอันมหึมาหนักกว่า 5 ตันครึ่ง ตัวรูปสลักสูง 4.34 เมตร นับรวมฐานสูงได้ 5.17 เมตรเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำยืนเปลือยกาย แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสง่างามของร่างกายมนุษย์เราอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามของพละกำลังและความหนุ่มสาวของมนุษย์ ซึ่งเป็นอิทธิพลของแนวความคิดแบบมนุษย์นิยมของยุคเรอเนสซองส์นั่นเอง
ครั้นไปเห็นเดวิดตัวจริงที่อยากเห็นเข้าแล้ว ก็ตื่นตาตื่นใจในความใหญ่โตของรูปแกะสลักทั้งๆ ที่รู้ขนาดของรูปแกะสลักมาก่อนแล้วก็ตามและหวนระลึกเมื่อตอนผู้เขียนยังเด็กอยู่ถูกบิดาสั่งให้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลให้ฟังทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นชาวคริสต์สักหน่อย จึงจำเรื่องได้ว่าเดวิดเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่บิดาให้เอาอาหารไปส่งให้พี่ชายผู้เป็นทหารของยิวซึ่งประจำการอยู่แนวหน้าทำสงครามกับกองทัพฟีลิสเตียที่ยกทัพมารุกรานอาณาจักรยิว โดยพวกฟีลิสเตียส่งนักรบชื่อโกไลแอตผู้สูงหกศอกคืบ สวมหมวก เสื้อเกราะ และสนับแข้งที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มีหอกสัมฤทธิ์เป็นอาวุธมาท้ารบกับทหารยิวตัวต่อตัวเป็นการชิมลางก่อน
ทางฝ่ายกองทัพยิวไม่มีใครอาสา เดวิดเลยอาสาเสียเองโดยอ้างว่าเขาเคยต่อสู้สิงโตและหมาป่าที่พยายามเข้ามากินแกะของเขาด้วย เชือกเหวี่ยงก้อนหินอันเป็นอาวุธทำลายล้างอย่างหนึ่งของโลกยุคโบราณ ก้อนหินที่เหวี่ยงจากเชือกของเดวิดมีพลังการหยุดยั้งเทียบเท่าลูกกระสุนจากปืน .45 เลยทีเดียว
เมื่อโกไลแอตวิ่งเข้าใส่ เดวิดจึงล้วงเอาก้อนหินในย่ามออกมาก้อนหนึ่งแล้วเหวี่ยงด้วยเชือกเหวี่ยงก้อนหินจองเขาเข้ากลางหน้าผากจมลึกอยู่ในกะโหลก ทำให้โกไลแอตล้มลงตายในทันทีด้วยก้อนหินเพียงก้อนเดียว และเดวิดก็ทำการข่มขวัญกองทัพศัตรูด้วยการวิ่งเข้าไปชักดาบของโกไลเองตัดคอโกไลแอตออกมาชูขึ้น ทำให้กองทัพฟีลิสเตียขวัญเสียวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปหมด
ปัญหาคาใจของผู้เขียนตั้งแต่สมัยยังเด็กอยู่ที่ฝังใจผู้เขียนคือชาวยิวเพศชายทุกคนต้องขริบหนังหุ้มปลายองคชาติทุกคนซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับอับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของชาวยิวและอาหรับทั้งมวลซึ่งผู้เขียนอ่านไปหวาดเสียวไปแบบจำได้ไม่รู้ลืม แต่เมื่อได้ดูรูปแกะสลักเดวิดใกล้ๆ ปรากฎว่าที่องคชาติไม่ได้ขริบแฮะ
ก่อนอื่นต้องทำความกระจ่างกับคำว่า "ขริบ" กับ "ขลิบ" เสียก่อน ผู้เขียนขออ้างอิงจากพจนานุกรมราชบัณฑิตสภาเลยก็แล้วกัน กล่าวคือ "ขริบ" หมายถึงการตัดเล็มด้วยตะไกรเป็นต้น ส่วน"ขลิบ"หมายถึงการเย็บหุ้มริมผ้าและของอื่นๆ เพื่อกันลุ่ยหรือเพื่อให้งามเป็นต้น
สรุปง่ายๆ คือถ้าจะกล่าวถึงการขริบหนังหุ้มปลายองคชาติหรือเรียกกันว่า "สุนัต" ซึ่งเป็นการขริบหนังหุ้มปลายองคชาติเป็นสิ่งที่ทำมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ในหลายกลุ่มวัฒนธรรม ศาสนา และเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาวยิวและมุสลิม
เมื่อผู้เขียนกลับมาเมืองไทยจากทริปไปฟลอเรนซ์แล้วผู้เขียนก็ไปเรียนถามบาทหลวงคาทอลิกคณะเยซูอิตที่โบสถ์เซเวียร์ที่ผู้เขียนคุ้นเคยกับบาทหลวงชาวอเมริกันและชาวฝรั่งเศส 2-3 ท่านถึงเรื่องทำไมเดวิดแห่งฟลอเรนซ์จึงไม่ขริบ ก็ได้คำตอบว่าเพราะไมเคิลแองเจโล ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์นั้นท่านนับถือศาสนาคริสต์และศาสนาคริสต์ไม่มีเรื่องขริบ เนื่องจากนักบุญพอล(เปาโล) ผู้ถูกจัดเป็นอัครสาวกคนสำคัญของศาสนาคริสต์ในการเผยแผ่ศาสนาอ้างว่าคนที่ไม่ใช่ยิวก็ไม่จำเป็นต้องขริบเนื่องจากเกิดพันธสัญญาใหม่เกิดขึ้นผ่านทางพระเยซูไม่ต้องผ่านทางอับราฮัมแล้ว ด้วยการชำระบาปกำเนิดด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นผ่านทางพระบุตรคือพระเยซูก็พอเพียงแล้วไม่จำเป็นต้องขริบ
ครับ ! ก็สว่างกระจ่างใจของผู้เขียนแล้ว แต่ถ้าท่านผู้ใดมีคำอธิบายที่ดีกว่าก็ขอความกรุณาสงเคราะห์ด้วยนะครับ