อนุทิน ชาญวีรกูล รมต. “ทองแท้” กับวาทะเด็ดในสมรภูมิโควิด-19

อนุทิน ชาญวีรกูล รมต. “ทองแท้” กับวาทะเด็ดในสมรภูมิโควิด-19

อนุทิน ชาญวีรกูล รมต. “ทองแท้” กับวาทะเด็ดในสมรภูมิโควิด-19
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า ณ พ.ศ.นี้ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงขึ้น สวนทางกับหลายประเทศที่เริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ บุคคลระดับผู้บริหารประเทศที่ถูกเพ่งเล็งและ “ฮอต” เป็นพิเศษ ก็หนีไม่พ้น “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ผู้กุมบังเหียนความรับผิดชอบโดยตรงต่อสถานการณ์นี้ ซึ่งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา “หมอหนู” ไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดเท่านั้น แต่ยังต้องเจอกับคณะทัวร์ที่พากันมาลง จากวาทะทองที่ท่านรัฐมนตรีได้ว่าไว้ในหลายโอกาส ดังนั้น Sanook จึงขอรวบรวมวาทะสุดพีคของเขาไว้ ดังต่อไปนี้

โควิดคือโรคหวัด

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2563 ในระยะแรกของการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย คุณอนุทินได้ยืนยันว่า ทางการไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยกล่าวว่า

มันก็คือโรคหวัดโรคหนึ่ง แล้วก็ใครเป็นหวัดเราก็ต้องรู้ การทำตัวก็คือ เวลาเราเจอคนเป็นหวัด เราทำยังไงก็ทำเหมือนกันนะครับ อย่าไปให้เขาจามใส่ อย่าไปสัมผัสตัวเขา อย่าไปกินข้าว กินอาหารร่วมกับเขา ใช้ชีวิตตามปกตินะครับ อย่าไปสัมผัสซากสัตว์ตายแล้ว”

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ระยะแรก ยังไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าโรคโควิด-19 จะร้ายแรงแค่ไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็ได้เรียนรู้ว่า โรคโควิดส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและทางเศรษฐกิจไม่น้อยทีเดียว

หวดหมอติดโควิด

ต่อมาในวันที่ 26 มีนาคม 2563 จากกรณีที่มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติหน้าที่ คุณอนุทินได้กล่าวในเชิงตำหนิคนกลุ่มนี้ว่า

"การติดเชื้อของแพทย์จากการปฏิบัติหน้าที่ ให้การรักษาโควิดไม่มี นี่คือสิ่งที่ต้องไปหวดกัน อันนี้ต้องยอมรับพวกเราก็ไม่พอใจนะครับ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เฝ้าระวังตัวเอง ซึ่งเราควรจะเป็นบุคคลตัวอย่าง เราจะต้องเป็นคนที่ Alert ตลอดเวลา ว่าช่วงนี้มีสถานการณ์ระบาด โรคแบบนี้เราต้องเซฟตัวเองให้มากที่สุด"

คำพูดดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล เนื่องจากเหล่าแพทย์และพยาบาลล้วนทำงานหนักเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด กระแสดราม่าครั้งนี้ ทำให้แฮชแท็ก #อนุทิน ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ จนคุณอนุทินต้องออกมาขอโทษ พร้อมทั้งชี้แจงว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย และเป็นห่วงบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รวมทั้งยังเสียใจที่สื่อสารได้ไม่ดี และขอโอกาสในการปรับปรุงตัว

โควิดกระจอก

วันที่ 5 ธันวาคม 2563 หลังจากที่มีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จากแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าประเทศ คุณอนุทินได้กล่าวถึงความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ว่า

“เวลานี้ความพร้อมของเรามีเต็มที่ อย่างไรก็สามารถควบคุมได้ อีก 6 เดือนก็มีวัคซีนออกมา จึงขอให้มั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องปิดจังหวัด เพราะโควิดกระจอก ถ้าเราเข้าใจและมีอาวุธพร้อม สามารถรับมือได้

ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขผู้นี้ลั่นวาจาอย่างมั่นใจ ก็เกิดคลัสเตอร์การระบาดใหม่จากสถานบันเทิงชื่อดัง แล้วลุกลามกลายเป็นการระบาดระลอกใหม่ ที่มีผู้ติดเชื้อหลักพันคน ขณะเดียวกัน วัคซีนที่คาดว่าจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์กลับมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียง ทั้งยังมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนช้ากว่าที่ควรจะเป็น จนหลายคนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่กระจอก

หมาไม่เข้าใจคน

กรณีโควิดกระจอกยังไม่ทันซา ดราม่าหมอหนูก็ตามมาอีกระลอก เพราะเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 คุณอนุทินได้โพสต์สเตตัสในเฟซบุ๊ก ระบุว่า "สาสุขพร้อมครับ จะทำทุกอย่างให้ทุกคนปลอดภัย Comrades. Let’s roll. Time for another fight" หลังจากนั้น นพ.ชญานนท์ บุญธีระเลิศ ซึ่งใช้รูปโปรไฟล์เป็นรูปสุนัข ได้แชร์ข้อความนี้ไป พร้อมเขียนแคปชั่นว่า "Covid โรคกระจอก โถ จะทำทุกอย่างให้ทุกคนปลอดภัย"

แม้จะดูเป็นการแซะตามสไตล์ชาวเน็ต แต่ดราม่าก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อคุณอนุทินเข้าไปคอมเมนต์ใต้โพสต์ดังกล่าวว่า "เห็นหน้าคนโพสต์เลยเข้าใจแล้วว่าหมาไม่เข้าใจคนอ่ะ" ก่อนจะมีการคอมเมนต์ตอบโต้กันไปมา และวิวาทะก็เข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ เมื่อท่านรัฐมนตรีฟาดเข้าให้ว่า "อยู่ รพ.พะเยาเหรอ เดี๋ยวไปหา มารอรับด้วย" ส่งผลให้มีรถทัวร์ชาวเน็ตเข้ามาลงเช่นเคย ทำให้แฮชแท็ก #ถอดถอนอนุทิน ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ในที่สุด

แทงม้าเต็ง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของคุณอนุทิน คือเรื่องการจัดหาวัคซีนเพื่อมาฉีดให้แก่ประชาชน โดยในขณะที่ประเทศอื่นๆ มีการจัดหาวัคซีนหลายยี่ห้อเพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่ประชาชน รัฐบาลไทยกลับเลือกใช้วัคซีนของ AstraZeneca ที่มาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนเป็นรายแรกกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และยังเลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตวัคซีน ผ่านบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ด้วย

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวเลือกวัคซีนที่น้อยมาก แต่คุณอนุทินชี้แจงเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ว่าเรา “ไม่ได้แทงม้าตัวเดียว”

“มีหลายหน่วยงานในไทยกำลังพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิดอยู่ในหลายเทคโนโลยี เช่น ไบโอเนทเอเชีย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้น คนไทยจะเป็นเจ้าของคอกม้า ถามว่าแทงม้าตัวเดียวหรือเปล่า จริงๆ แล้วเราแทงม้าเต็ง เพราะเราเห็นว่าม้าจากแอสตร้าเซนเนก้าวิ่งนำมาแล้ว กล้าสนับสนุนประเทศไทยก่อน ส่วนม้าตัวอื่นบอกว่า จะให้วัคซีนเราเร็วที่สุดในกันยายนยังบอกเงื่อนไขไม่ได้ บอกจำนวนไม่ได้”

ทว่าต่อมากลับมีกระแสข่าวว่า วัคซีนม้าเต็งดังกล่าวมีผลข้างเคียงคือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนทำให้หลายประเทศในยุโรปต้องระงับการใช้วัคซีนยี่ห้อนี้ชั่วคราว และสำหรับประเทศไทยยังคงมีการใช้วัคซีนยี่ห้อนี้อยู่ ควบคู่ไปกับวัคซีนของ Sinovac ที่มีการพบผลข้างเคียงทำให้ผู้ที่รับวัคซีนมีอาการ “คล้ายอัมพฤกษ์” ยิ่งตอกย้ำความไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนในหมู่คนไทยยิ่งขึ้น

กราบ Pfizer

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 คุณอนุทินได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย ทางสถานีโทรทัศน์ MCOT HD ว่าจะมีการพบปะกับตัวแทนของบริษัท Pfizer อีกครั้ง เพื่อเจรจาให้ทางบริษัทส่งมอบวัคซีนให้ไทยโดยเร็วที่สุด พร้อมระบุว่า "จะให้กราบเขาเพื่อให้ส่งได้เร็วที่สุดเนี่ย ก็จะทำ"

ทว่าต่อมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้แชร์คลิปรายการเจาะลึกทั่วไทย ที่ระบุว่าบริษัทไฟเซอร์เคยติดต่อประเทศไทยหลายครั้ง แต่กลับถูกรัฐบาลไทยปฏิเสธ พร้อมทวีตข้อความว่า “pfizer ไฟเซอร์ เคยเสนอขายวัคซีนให้ไทย 13 ล้านโดสในราคาพิเศษ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ มีวัคซีนให้ใช้ก่อน ค่อยจ่ายทีหลัง เสนอรัฐบาลไทยไป 4 รอบ แต่ถูกปฏิเสธ รอบที่ 4 บอร์ดใหญ่ สาธารณสุขไม่รู้ไปสนทนาอิท่าไหน จนเขาไม่ติดต่อรัฐบาลไทยมาอีกเลย (moon cry) ตอนนี้บอกว่าจะให้กราบก็ยอม?”

ในเวลาต่อมา คุณอนุทินได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอร้องให้หยุดแชร์ข้อมูลเท็จ และหยุดแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองในสถานการณ์โรคระบาด

ผมก็ทน

ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ถาโถมใส่ทั้งรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วประเทศ กลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า "หมอไม่ทน" ได้จัดตั้งแคมเปญผ่านเว็บไซต์ change.org ล่ารายชื่อเรียกร้องให้คุณอนุทินลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่มีความสามารถมากพอในการควบคุมสถานการณ์โรคระบาด ซึ่งเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2564 คุณอนุทินได้กล่าวเกี่ยวกับแคมเปญนี้ว่า เขาเคยผ่านประสบการณ์ลักษณะนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยเสียกำลังใจ และจะเดินหน้าต่อไป

"ผมทำงานอยู่ไม่เป็นไร ผมก็ทน ผมคิดว่าผมยังทำงานกับหมอได้ หมอที่ไหนไม่ทน แต่หมอกระทรวงสาธารณสุขยังทนทำงานอยู่และก็ยังให้ความร่วมมือกับผมดีอยู่ ผมทำงาน ผมไม่มีปัญหา ผมบอกตัวผมเองว่าผมกำลังทำงาน ใครชมผม ผมก็ฟัง ใครว่าผม ผมก็ฟัง หลายๆ คนว่ามาแล้วฟังเข้าท่า ก็ไปทำตาม แต่ผมก็ต้องชมตัวผมเอง ผมว่าผมก็ยังทำงานได้อยู่ ผมก็ทำต่อไป ตอนเข้า ผมก็ขอเขามาที่นี่ ถ้าจะไปผมก็ขอไปด้วยตัวเอง ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้ามันไม่ไหวผมไม่อยู่หรอก" คุณอนุทินกล่าว

หลังจากนั้น เกิดปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขหลายแห่ง พากันโพสต์ข้อความให้กำลังใจท่านรัฐมนตรี พร้อมติดแฮชแท็ก #Saveอนุทิน และ #ทองแท้ไม่กลัวไฟ อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า บางโรงพยาบาลเขียนข้อความให้กำลังใจเหมือนกันราวกับลอกกันมา รวมทั้งยังเกิดกรณีที่แพทย์จากโรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก แชร์แคมเปญดังกล่าว พร้อมแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์แคมเปญนี้และมีการพาดพิงรัฐมนตรีสาธารณสุข แต่สุดท้าย แพทย์ท่านนี้ต้องลบข้อความและแถลงขอโทษคุณอนุทินในที่สุด

ปรากฏการณ์ทองแท้ไม่กลัวไฟได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย และเมื่อวันที่ 26 เมษายน แฮชแท็กทั้งสองก็ได้ติดอันดับ 1 และอันดับ 2 ในเทรนด์ทวิตเตอร์ ทว่าส่วนใหญ่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของตัวรัฐมนตรีต่อความเป็น “ทองแท้” ของเขามากกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook