เอาจริงแล้ว! นายอำเภอแจ้งจับหนุ่มยูกันดา-เมียชาวโคราช ติดโควิด ปกปิดข้อมูลเสี่ยง
เอาจริงแล้ว! นายอำเภอเสิงสาง แจ้งความเอาผิด หนุ่มยูกันดา-เมียชาวโคราช ปกปิดข้อมูลเสี่ยงโควิด เป็นเคสแรกของจังหวัด
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ผ่านมา (3 พ.ค.64) นายสานิตย์ ศรีทวี นายอำเภอเสิงสาง พร้อมด้วย นายชาลี ทะนาไธสง นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสิงสาง เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรเสิงสาง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา เข้าพบ ร.ต.อ.วรากูลณ์ เสนาช่วย รองสารวัตรสอบสวน สภ.เสิงสาง แจ้งความดำเนินคดีกับหญิงสาววัย 22 ปี ชาวบ้านตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเสิงสาง พร้อมสามีชาวต่างชาติ สัญชาติยูกันดา อายุ 32 ปี ในข้อหาจงใจปกปิดข้อมูล
หลังจากทั้งสองรายได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร เพื่อขอเข้าตรวจหาเชื้อโควิด แต่มีการปกปิดข้อมูลความจริงซึ่งควรบอกแจ้งให้เจ้าพนักงานควบคุมโรค จนเป็นเหตุให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องกักตัว 2 ราย และเกิดความเสียหายต่อระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยของโรงพยาบาลเสิงสาง ซึ่งการแจ้งความในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของจังหวัดนครราชสีมาที่มีการเอาผิดกับผู้ปกปิดข้อมูลผู้มีความเสี่ยงโควิด-19
นายสานิตย์ ศรีทวี นายอำเภอเสิงสาง กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา สองสามีภรรยาได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร และเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเสิงสาง เพื่อขอตรวจหาเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ยอมบอกข้อมูลว่า ตนเองเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะติดเชื้อ เนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 256464 ทั้งสองได้ไปรับประทานอาหารร่วมกับพี่ชายของสามี ที่บ้านพักในกรุงเทพมหานคร และมาทราบภายหลังว่า พี่ชายของสามีติดเชื้อโควิด-19 จากนั้นก็ได้เดินทางมาขอรับการตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลเสิงสาง และยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง ก่อนที่จะมายอมรับในภายหลัง หลังจากถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนเค้นอย่างหนัก จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจหาเชื้อและพบว่าทั้งสองติดเชื้อโควิด-19 ในเวลาต่อมา ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ 2 ราย ของโรงพยาบาลเสิงสางต้องถูกกักตัวในที่สุด
ดังนั้น ขอฝากไปถึงประชาชนทุกคนว่า หากผู้ใดที่รู้ตัวว่าเป็นบุคคลกลุ่มเสี่ยง และต้องการที่จะตรวจหาเชื้อหรือเข้าทำการรักษา ให้โทรศัพท์ติดต่อมายังทางเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง ทางเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการไปรับตัวมาทำการตรวจรักษาตามขั้นตอนที่ถูกต้อง อย่าจงใจปกปิดข้อมูล เพราะจะทำให้บุคคลอื่นต้องมีความเสี่ยงไปด้วย สำหรับการดำเนินการในเคสนี้ ถือเป็นเคสตัวอย่างที่จำเป็นต้องดำเนินการเอาผิด เพราะเป็นเหตุให้ต้องขาดบุคลากรทางการแพทย์ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานช่วงนี้ไป ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่อำเภอเสิงสาง ล่าสุด มียอดผู้ป่วยสะสม 10 รายแล้ว
เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แจ้งข้อหาฐานจงใจปกปิดข้อมูลอันเป็นเท็จ อันเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนและการควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิด 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ฯ จะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองหลังจากรักษาตัวจนหายดีแล้ว