แก๊งสาวเสี่ยงโควิด โพสต์อ้างหมอไม่ทำแผลให้ ความจริงสุดพีค เมาตบกันเองหน้า รพ. (คลิป)

แก๊งสาวเสี่ยงโควิด โพสต์อ้างหมอไม่ทำแผลให้ ความจริงสุดพีค เมาตบกันเองหน้า รพ. (คลิป)

แก๊งสาวเสี่ยงโควิด โพสต์อ้างหมอไม่ทำแผลให้ ความจริงสุดพีค เมาตบกันเองหน้า รพ. (คลิป)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แก๊งสาวกลุ่มเสี่ยงโควิด โพสต์อ้างหมอไม่ทำแผลให้ ความจริงสุดพีค อยู่ในช่วงกักตัวแต่เมา มาตบตีกันต่อที่หน้า รพ.

เด็กสาววัยรุ่นได้โพสต์คลิปของตนเองและเพื่อน ขณะที่กำลังเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนครพิงค์กลางดึก ซึ่งในภาพเจ้าตัวและเพื่อนผู้หญิงหลายคนกำลังส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย และทะเลาะกับเพื่อนต่อที่ด้านหน้าโรงพยาบาลตรงจุดคัดกรอง ในภาพยังมีเจ้าหน้าที่สวมชุด PPE เพื่อป้องกันตนเองอยู่ในบริเวณจุดคัดกรอง

โดยสาวเจ้าของคลิปยังโพสต์ตำหนิเจ้าหน้าที่ที่จุดคัดกรองด้วยว่า โดนแก้วบาดเป็นแผลฉีกกว้างมาก เข้าใจหมอนะว่าเหนื่อยเพราะช่วงนี้โควิดระบาดเชียงใหม่ ขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยทำแผลน้องแต่หมอไม่ยอมรักษา 

หลังจากนั้นได้มีการแชร์คลิปดังกล่าวออกไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งวันนี้ (4 พค.64) เวลาประมาณ 10.00 น. มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ได้แชร์คลิปดังกล่าว พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า

"#เวชกิจขอบอกเล่า เคสนี้เมื่อคืนเราอยู่จุดคัดกรองเอง น้องกลุ่มนี้มาด้วยเรื่องมีแผลตรงข้อแขน ทีแรกเพื่อนน้องโทรมา 1669 ขอรถไปรับทางเราก็ซักประวัติ ตามแผน ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก เราจึงจำเป็นเน้นย้ำในการซักประวัติเรื่องความเสี่ยงโควิดค่อนข้างเข้มนิดหนึ่งเพื่อป้องกันน้องๆ ทีมที่จะออกรับ

ซักประวัติได้ว่า กลุ่มนี้ แจ้งว่ามีเพื่อนเป็นโควิด แล้วน้องๆ กลุ่มนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและอยู่ในช่วงกักตัว แต่วันที่เกิดเหตุน้องกลุ่มนี้ซื้อเหล้ามากินกันแล้วเกิดทะเลาะกันในกลุ่ม ทางศูนย์จึงให้น้องรอขอประสานทีมก่อน
แต่อีกซักพักกลุ่มนี้ก็ขี่มอเตอร์ไซค์มา 2 คัน 6 คน น้องคนเสื้อดำมีแผลที่แขน มาแบบไม่ใส่แมสก์และมาในสภาพเมาเอะอะโวยวายมาก เราจึงเข้าไปสอบถาม ตามหน้าที่จุดคัดกรองด้านล่างแต่น้องเสื้อดำไม่ให้ความร่วมมือเราบอกใส่แมสก์ก็ไม่ยอมใส่..โวยวายตลอด เราก็ได้พูดว่าน้องสงบสติอารมณ์ก่อนถ้าน้องโวยวายและไม่ใส่แมสก์แบบนี้พี่ก็ให้ขึ้นไปตรวจไม่ได้ เพราะมันเป็นความเสี่ยง

เราพูดแบบให้เหตุผลน้องฟัง น้องคนเสื้อดำก็ไม่ยอมฟังเสียงดังมากไม่มีใครฟังใครจนในกลุ่มเกิดทะเลาะกันเองตบตีกันเอง ต่อหน้าเรา หลังจากนั้นเราก็ขอคุยกับเพื่อน แนะนำให้พาเพื่อนไปนั่งสงบสติก่อนถ้าดีขึ้น แล้วค่อยไปตรวจ เราไม่เคยคิดที่จะ ปฎิเสธคนไข้เลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่น้องเขาเอาไปโพสต์มันกลับกันมากจริงๆ #ท้อใจสุดๆ "

จากการสอบถามพบว่า เจ้าของโพสต์ คือ นางสาวอรทัย แสนใจเป็ง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโรงพยาบาลนครพิงค์ ปฏิบัติหน้าที่จุดคัดกรองฉุกเฉิน ได้เปิดเผยข้อมูลให้กับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า คลิปดังกล่าวเป็นการแชร์ต่อเนื่องมาจากผู้โพสต์ซึ่งเป็นหญิงสาวในกลุ่มที่มาจุดคัดกรองเมื่อคืนที่ผ่านมาจริง

ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากทางสายด่วน 1669 จากหญิงสวกลุ่มนี้ว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกของมีคมบาดต้องการให้หน่วยแพทย์ไปรับตัว แต่ตามมาตรการต้องมีการซักประวัติทางโทรศัพท์เบื้องต้น และพบว่าน้องๆ กลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดที่เป็นเพื่อนกันติดโควิดก่อนหน้านี้ 4 ราย และน้องๆ กลุ่มนี้อย่ในช่วงกักตัว 14 วัน ทางทีมแพทย์จึงต้องมีการวางแผนไปรับผู้ป่วยในระดับที่มีความเสี่ยง ต้องเตรียมชุดป้องกัน และอุปกรณ์รวมทั้งจัดทีมแพทย์ไปในระดับที่ไปรับตัวผู้เสี่ยงโควิดด้วย รวมทั้งต้องแนะนำให้ผู้ป่วยเองเตรียมตัวอย่างไรบ้าง สวมเสื้อผ้าชุดหรือเตรียมพร้อมจะให้ทีมแพทย์ไปรับตัวแบบไหน ทำให้ต้องใช้เวลา แต่ยังไม่ทันได้ออกไปรับตัวพบว่าเด็กกลุ่มนี้ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์นำผู้ป่วยมาส่งกันเอง บางคนไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยด้วย และมากันด้วยอาการมึนเมา แถมยังมามีปากเสียงและยังมาทะเลาะกันต่อที่โรงพยาบาล

ทางเจ้าหน้าที่เองขอร้องให้สงบแต่ก็ยังเป็นอย่างในคลิปภาพ มีการส่งเสียงดังโวยวาย และตำหนิด่าทอเจ้าหน้าที่ว่าปฏิเสธการรักษา นำคลิปภาพมาโพสต์ตำหนิการทำงานของทางเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่ตนเองฝ่าฝืนมาตรการและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ต้องประสานไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ริม ให้มาช่วยควบคุมเหตุการณ์ แต่ไม่ทันที่ตำรวจจะมาถึง น้องๆ กลุ่มนี้ได้พากันออกจากโรงพยาบาลไปเสียก่อน

วันนี้พอเห็นคลิปทีมีการแชร์เป็นเรื่องที่กล่าวหาทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว จึงได้โพสต์เพื่อชี้แจงเรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเอาเรื่องนี้มาโพสต์ตำหนิเจ้าหน้าที่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ต้องทำงานกันอย่างหนัก และต้องปฏิบัติตามมาตรการเข้มข้นป้องกันโควิดก็ทำให้หลายคนรู้สึกท้อใจในการทำงานท่ามกลางสถานการณ์ ที่มีผู้ไม่รับผิดชอบต่อสังคมเช่นนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook