ราชทัณฑ์แจง ยอดติดเชื้อโควิดในเรือนจำพุ่ง มาจากเชื้อกลายพันธุ์-สถานที่แออัด
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำว่า เรือนจำและทัณฑสถานอาจดูเหมือนเป็นพื้นที่ปิด สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดำเนินงานราชทัณฑ์ไม่สามารถควบคุมปริมาณบุคคลเข้า-ออกได้ 100 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากเป็นปลายทางของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่สามารถปฏิเสธการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ และการนำตัวผู้ต้องขังออกศาลได้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องหมุนเวียนการปฏิบัติงานอยู่ทุกวัน อีกทั้งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดในปัจจุบันยังมีระยะฟักตัวที่นานขึ้น และไม่แสดงอาการ ทำให้อาจเกิดการเล็ดลอดของเชื้อหลังจากผ่านพ้นระยะกักตัวได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์จะดำเนินการอย่างระมัดระวังอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยใช้มาตรการ Bubble and Seal และตรวจหาเชื้อเชิงรุก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงต้องเร่งการ SWAB ให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เรือนจำและทัณฑสถานที่ตรวงพบผู้ติดเชื้อให้เร่งคัดแยกผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยเร่งคำเนินการคัดกรองให้เร็ว เอ็กซเรย์ให้เร็ว และคัดแยกให้เร็ว เพื่อการรักษาที่รวดเร็ว อันจะเป็นประโยชน์ในการรักษา ลตการแพร่เชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตไต้ในที่สุด ส่วนเรือนจำและทัณฑสถานอื่นๆ ทั่วประเทศให้เตรียมพร้อมรับมือ จัดพื้นที่เตรียมคัดแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังต่างๆ ออกจากกัน และเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในกรณีจำเป็น
นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ใขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) ขึ้น เพื่อรับมือ แก้ไข และจัตการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคคิดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้มีความชัดเจน และการจัดหายาเวชภัณฑ์ต่าง ให้เพียงพอ รวมถึงเป้าหมายสำคัญ คือการเร่งจัตหาวัดซีนแก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังให้ครบทุกคน ทั้งนี้ อยากให้เชื่อมั่นในการดำเนินการของกรมราชทัณฑ์ว่าเป็นการคำเนินการควบคุมเพื่อแก้ไข และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ตามหลักสิทธิมนุษยชน และจะรักษาดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเต็มศักยภาพให้ดีที่สุด
ปัจจุบันมีผู้ต้องขัง 311,540 ราย ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนสูงเมื่อเทียบกับจำนวนเจ้าหน้าที่ประมาณ 13,000 คน และพื้นที่เรือนจำที่มีความเก่าคับแคบทำให้มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแออัด ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ได้พยายามสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มความสามารถด้วย 3 มาตรการ คือ 1.คนในห้ามออก 2.คนนอกห้ามเข้า 3.การกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ ผู้ต้องขังไปโรงพยาบาล และผู้ต้องขังออกศาล เป็นระยะเวลา 21 วัน และต้องมีการ SWAB เพื่อตรวจเชื้ออย่างน้อย 2 ครั้ง คือก่อนเข้าห้องกักโรค และก่อนพ้นระยะกักตัว จนสามารถควบคุมการคุมการแพร่ระบาคของเชื้อโควิด-19 ทั้งสองระลอกก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี โดยมีสถิตผู้ติดเชื้อเพียงหลักหน่วย และหลักสิบคน ซึ่งสอดคล้องกับยอดผู้ติดเชื้อภายนอกเรือนจำ จนกระทั่งระลอกปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดกว้างขวาง พบการติดเชื้อในผู้ต้องขังจำนวนที่สูงขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก
ด้าน นพ.วีระกิตดิ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษก ศบค.รท.กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นอกจากจะเป็นวิกฤตครั้งใหม่ที่ทั่วโลกต้องต้องเผชิญแล้ว ในครั้งนี้การแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรวดเร็ว และตรวจพบเชื้อได้ลำบากกว่าที่ผ่านมา ในบางรายต้องตรวจเชื้อซ้ำถึง 3 ครั้งจึงจะพบเชื้อ แม้ว่าจะมีนโยบายให้ผู้ต้องขังทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบัติ เวลาอาบน้ำ รับประทานอาหาร ก็จำเป็นที่จะต้องถอดหน้ากากอนามัย อันเป็นจุดที่สามารถแพร่กระจายเชื่อได้ ซึ่งเมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อในเรือนจำรายแรกๆ กรมราชทัณฑ์ได้เร่งดำเนินการสอบสวนโรค และเร่งการตรวจหาเชื้อให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นการค้นหาเชิงรุกอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเอ็กซเรย์ปอดในผู้ติดเชื้อทุกราย เพื่อแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อตามลักษณะการรักษาอย่างทันท่วงที
ในการรักษาตังกล่าว กรมราชทัณฑ์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเรือนจำ การจัดหายาต้านไวรัส และในส่วนของผู้ต้องขังที่ตรวจไม่พบเชื้อในครั้งแรก จะต้องทำการตรวจหาเชื้อซ้ำทุกๆ 7 วัน จนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะปกติ โดยต่อจากนี้จะมีการตรวจค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง และอาจจะมียอคผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น แต่อยากให้มั่นใจว่าเป็นไปเพื่อให้ผู้ต้องขังทุกคนใด้รับการรักษาที่รวดเร็วจนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด
ขณะที่ น.ส.โศรยา ฤทธิอร่าม ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า ทัณฑสถานหญิงกลาง ได้แบ่งการควบคุมออกเป็น 2 แดน คือ 1.แดนแรกรับ มีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 ราย ซึ่งมีการดำเนินการตรวจคักรองผู้ต้องขังทั้งแดนไปแล้ว 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 8 พ.ค.64 และวันที่ 15 พ.ค.64 ส่วน 2.แดนเด็ดขาด มีจำนวนผู้ต้องขังประมาณ 3,000 คน มีการตรวจคัดกรองไปแล้วพบผู้ติดเชื้อ 1,039 ราย ตามที่กรมราชทัณฑ์ให้ชี้แจงไปแล้ว โดยผู้ต้องขังที่ติดเชื้อทางทัณฑสถานหญิงกลางได้ดำเนินการส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเซื้อจำนวน 3400 ราย ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ภายใต้มาตรการ Bubble and Seal เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ และมีการตรวจคัดกรองเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังทุกๆ 7 วัน จนกว่าจะไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม รวมทั้งได้ปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์การระบาดในทัณฑสถานใด้คลี่คลายลงแล้ว