หนูน้อยปอดเหล็ก! กินนอนอยู่กับผู้ป่วยโควิด ติดเชื้อแต่หายเองใน 7 วัน ไม่มีอาการสักนิด

หนูน้อยปอดเหล็ก! กินนอนอยู่กับผู้ป่วยโควิด ติดเชื้อแต่หายเองใน 7 วัน ไม่มีอาการสักนิด

หนูน้อยปอดเหล็ก! กินนอนอยู่กับผู้ป่วยโควิด ติดเชื้อแต่หายเองใน 7 วัน ไม่มีอาการสักนิด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนูน้อยวัย 2 ขวบ ติดโควิดพร้อมคนในครอบครัว สุดทึ่งไม่มีอาการป่วย หายเองใน 7 วัน คาดภูมิต้านทานดีจนสู้โรคได้เอง

(19 พ.ค.64) เวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยเรื่องราวจาก น.ส.พัชมน  อายุ 51 ปี ผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการรักษาจนหาย และทางแพทย์ได้อนุญาตให้กลับมาพักที่บ้านได้แล้ว โดยน้องสาวคนเล็กอายุ 43 ปีมีอาชีพเป็นผู้ช่วยพยาบาลในสถานพยาบาลแห่งหนึ่งใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นำเชื้อกลับมาแพร่สู่คนในบ้าน จนทำให้ติดเชื้อกันหมดทั้งครอบครัวรวม 5 คน และทำให้ น.ส.แสงเงิน อายุ 76 ปี ผู้เป็นมารดาเสียชีวิตลง

ในขณะที่ทุกคนป่วยกันทั้งบ้าน จึงทำให้ไม่มีคนดูแลจึงต้องนำหลานสาววัย 2 ขวบ 4 เดือน ลูกสาวของน้องสาวคนเล็ก ไปกินนอนอยู่ด้วยยังที่ รพ.บางน้ำเปรี้ยว พร้อมกันกับตน น้องสาวคนรองวัย 48 ปี และผู้เป็นมารดาวัย 76 ปี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 ที่ผ่านมา

แต่เป็นที่น่าแปลกใจอย่างมาก ที่หลานสาววัยซนรายนี้กลับไม่มีอาการป่วยใดๆ จากเชื้อโควิด-19 ปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย และทางแพทย์ก็ไม่ได้ให้ยาในการรักษาใดๆ เนื่องจากไม่มีอาการ อีกทั้งหลานสาวยังคงวิ่งเล่นซุกซนได้ตามปกติ ทั้งยังอยู่ด้วยกันกินนอนกับตนและน้องสาวคนรองในโรงพยาบาล ตลอดเกือบ 1 เดือนเต็ม

โดยครั้งแรกนั้นทาง รพ.พุทธโสธร แจ้งยืนยันผลหลานสาวติดเชื้อด้วย แต่เมื่อไปอยู่ยังที่ รพ.บางน้ำเปรี้ยว ก็ไม่แสดงอาการ ทั้งที่มีการเอกซเรย์ปอด วัดไข้ วัดความดันในทุกๆ 4 ชม. ซึ่งทุกอย่างเป็นปกติทั้งหมด และเมื่อมีการตรวจหาเชื้อจากหลานสาวอีกครั้ง หลังจากอยู่โรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ กลับไม่พบเชื้อในร่างกายของหลานสาว และยังไม่มีอาการใดๆ อีกเช่นเดิม ขณะที่พวกตนโดยเฉพาะผู้เป็นมารดา คือ น.ส.แสงเงิน นั้น มีอาการหนักมากจนถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความดันและเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคของคนแก่อยู่ก่อนแล้ว

ส่วนตนมีอาการไข้ขึ้นปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการเจ็บคอ และเหนื่อยง่ายหายใจไม่สะดวกในระหว่างการรักษา แพทย์ต้องให้ออกซิเจนเพิ่มที่โพรงจมูก และมีเชื้อโควิด-19 ลงไปที่ปอดบางส่วน และมีการให้ยาฆ่าเชื้อรวมถึงยาที่เกี่ยวข้องตามอาการ แต่ไม่ถึงขั้นที่ต้องให้ตนนอนคว่ำ ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นก็ยังคิดว่าเชื้อค่อนข้างรุนแรง เพราะตนมีอาการหลายอย่างค่อนข้างมาก ขณะที่น้องสาวคนรองนั้น มีเพียงอาการไอแต่ไม่มีไข้

ส่วนน้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นมารดาของเด็กนั้น ถูกตรวจพบเชื้อก่อนเป็นรายแรกหลังจากมีอาการไข้ขึ้นและเจ็บคอ ถูกแยกนำไปทำการรักษาที่ รพ.พุทธโสธร และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านมาได้ก่อนนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 พ.ค.64 ที่ผ่านมา ส่วนน้องสาวคนรองได้กลับบ้านมาก่อนเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว

สำหรับตนและหลานสาววัย 2 ขวบเศษนั้น เพิ่งกลับออกมาได้เมื่อวานนี้เอง และยังต้องกักตัวอีกเป็นเวลา 14 วัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หลานสาววัย 2 ขวบ หรือน้องแอลไม่มีอาการอะไรจากโรคนี้เลยนั้น ตนเชื่อว่าอาจเป็นเพราะตนได้ให้อาหารเสริม ที่อาจจะช่วยทำให้ร่างกายของเด็กได้สร้างภูมิต้านทานโรคมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เนื่องจากตนเป็นผู้เลี้ยงดูหลานคนนี้มาเองกับมือ จึงทำให้เขามีภูมิต้านทานต่อโรคได้ดี แต่ก็ไม่คิดว่าจะสามารถต้านทานโรคร้ายแรงที่มีคนเป็นแล้วถึงขั้นเสียชีวิตได้มากถึงขนาดนี้

ส่วนทางเจ้าหน้าที่ผู้ให้การรักษาตนและผู้ป่วยโควิด-19 ที่ตนได้ไปนอนรักษาอยู่นั้น ก็ได้ให้ข้อมูลไปในทำนองเดียวกันเกี่ยวกับเรื่องภูมิต้านทานในร่างกายของเด็ก ที่อาจถูกสร้างขึ้นมาเองและรักษาอาการได้ด้วยภูมิต้านทานของตัวเอง ทั้งที่ในครั้งแรกได้มีการยืนยันว่าตรวจพบเชื้อ พอตรวจครั้งที่ 2 หลังผ่านมาได้ 7 วัน กลับไม่พบเชื้อ และยังมีการตรวจเป็นครั้งที่ 3 หลังจากเข้าไปอยู่ด้วยกันยังในสถานพยาบาลแล้วครบ 14 วัน ผลตรวจก็ยังไม่พบเชื้ออีกเช่นเดียวกัน

ในขณะที่ตนเองนั้น ถูกตรวจพบเชื้อมาโดยตลอด แม้จะผ่านการรักษามานานจนครบ 14 วันแล้วก็ตาม ยังถูกตรวจพบเชื้อมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องนอนพักรักษาอยู่อย่างยาวนานจนถึงเกือบ 1 เดือนเต็ม และได้กลับบ้านเป็นรายสุดท้ายของครอบครัวเมื่อวานนี้ (18 พ.ค.64) 

ส่วนพิธีศพของมารดา จะทำการปรึกษากันภายในครอบครัวและญาติในการที่จะนำอัฐิมาประกอบพิธีทำบุญทางศาสนาอีกครั้ง หลังจากที่ตนได้กักตัวจนครบ 14 วันแล้ว และสำหรับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตจากคนรอบข้างก็อาจมีเกิดขึ้นในชุมชน และสังคมนั้น ตนทำใจยอมรับได้และไม่ได้คิดอะไรมากนัก

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook