เปิดพยานหลักฐานเด็ดมัดตัว "ลุงพล" จนนำไปสู่การออกหมายจับคดีน้องชมพู่

เปิดพยานหลักฐานเด็ดมัดตัว "ลุงพล" จนนำไปสู่การออกหมายจับคดีน้องชมพู่

เปิดพยานหลักฐานเด็ดมัดตัว "ลุงพล" จนนำไปสู่การออกหมายจับคดีน้องชมพู่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนดูการสอบสวนของตำรวจ กว่าจะหาพยานหลักฐาน มัด "ลุงพล" คดีน้องชมพู่ ดึงแพทย์นิติเวช นักโภชนาการ และนักวิทยาศาสตร์ ช่วยตรวจสอบ

จากกรณี น้องชมพู่ เด็กหญิง อายุ 3 ขวบ ที่หายไปจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 63 ก่อนพบเสียชีวิตอยู่บริเวณเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ห่างจากบ้านพักประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 

ย้อนดูการสอบสวนของตำรวจที่กว่าจะหาหลักฐานแห่งพฤติการณ์มัด นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล จนออกหมายจับในวันนี้ พบว่า ในวันที่ น้องชมพู่ หายไป มี น้องสะดิ้ง พี่สาววัย 14 ปี เห็นเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อและแม่ของเด็กออกไปทำงานนอกบ้าน

จากการสอบถามพยานทั่วทั้งหมู่บ้านไม่มีใครพบเห็น ชาวบ้านช่วยกันออกค้นหา และเชื่อว่าเด็กหญิงอายุเพียง 3 ขวบ ไม่มีทางเดินหลงป่าไปไหนได้ไกล บริเวณดังกล่าวสามารถเข้าถึงจุดเกิดเหตุพบศพในอีกหลายวัน

โดยแต่ละเส้นทางกว่าจะเข้าไปพบศพน้องชมพู่ได้ในอีกหลายวันต่อมา แต่ละเส้นทางไม่มีใครพบเห็นน้องชมพู่เดินผ่าน มีเพียงเส้นทางเดียวที่ผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน ซึ่งมีพยานบุคคล 2 คนให้การว่าเห็นลุงพล เดินออกมาช่วงเวลา 09.00 น.เศษ

ส่วนการสอบสวนอุปนิสัยของน้องชมพู่ หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้ม จะร้องโวยวาย แต่ในขณะที่หายตัวไป พยานที่อยู่บริเวณนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง จึงเชื่อว่าบุคคลที่พาตัวไปต้องเป็นบุคคลรู้จักคุ้นเคย สามารถเข้าถึงตัวได้ ประกอบด้วยบุคคล 10 คน

จากการตรวจสอบพยานบุคคลและพยานหลักฐานข้อมูลอื่น ในห้วงเกิดเหตุไม่มีบุคคลที่น้องชมพู่ไว้ใจผู้ใดอยู่ใกล้เคียง รวมถึงเส้นทางเข้าไปยังเขาภูเหล็กไฟ เกือบทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ให้อย่างชัดเจน นอกจากลุงพลที่ไม่สามารถยืนยันหลักฐานที่อยู่ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีพยานบุคคล ระบุว่า พบอยู่ในเส้นทางที่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้

หลังจากเด็กหายตัวไป ลุงพล ขับรถไปรับพระวัดภูผาแอก เพื่อไปส่งยังสถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด และได้พูดคุยกับพระที่เป็นพยานในเวลาต่อมาว่า “หลานหายตัวไป” แต่ข้อเท็จจริง ยังไม่มีใครในละแวกนั้น บอกลุงพลเลยว่า น้องชมพู่ หายตัวไป

ส่วนการสอบสวนช่วงเวลา14.30-16.00 น. ของวันที่ 11 พ.ค.63 ลุงพลอยู่ที่ไหน แต่ปรากฏว่า ลุงพลบอกไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า ลุงพลได้พบกับพยาน 2 ปาก บริเวณร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟ เป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้าน ในลักษณะท่าทางมีพิรุธ

ด้าน การตรวจศพของแพทย์นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาตายของเด็ก ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่เด็กถูกทิ้งไว้จุดแรกบริเวณท้ายหมู่บ้านก่อนทางขึ้นภูเหล็กไฟยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปบนจุดพบศพ

สอดคล้องกับผลตรวจของนักโภชนาการ ระบุ สภาพร่างกายของน้องชมพู่ หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงย่อมถึงแก่ความตายได้โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย

นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ของสำนักพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหารได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือเส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของลุงพล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ

ซึ่งต่อมาตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จที่สรุปว่า ลุงพลมีพิรุธในการตอบคำถาม

จากพยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน ผบ.ตร. มัดลุงพลเท่านั้นที่จะนำตัวน้องชมพู่ไปและมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิงแล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึก ที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย

ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็นเรื่องการฆาตกรรม ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนต์ดำของเขมร หวังเบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook