"เบิร์ด พิทยา" อดีตนายแบบดัง ขับแกร็บอย่างเดียวไม่พอกิน ผุดอาชีพใหม่ขายกะปิ
"เบิร์ด พิทยา" อดีตนายแบบดังยุค 90 เผยขับแกร็บส่งอาหารอย่างเดียวรายได้ไม่เพียงพอ ล่าสุดได้อาชีพใหม่เป็นพ่อค้าขายกะปิ
จากกรณีที่ “เบิร์ด-พิทยา ณ ระนอง” อดีตนักแสดง นายแบบลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่โด่งดังสุดขีดในยุค 90 ผันตัวมายึดอาชีพขับแกร็บฟู้ดส่งอาหารที่เชียงใหม่ หลังจากที่ธุรกิจรับสอนศิลปะและทำงานบริษัททัวร์ รวมทั้งการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งขายกาแฟสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบำรุงผิว และอาหารเสริม ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิด-19
โดยผู้ที่พบเห็นต่างรู้สึกประหลาดใจที่เห็นอดีตนักแสดงและนายแบบชื่อดังทำงานนี้ พร้อมกับชื่นชมในความอดทนดิ้นรนสู้ชีวิต ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังช่วงกลางเดือน พ.ค.64
วันนี้ (13 มิ.ย.64) รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า ล่าสุดนอกจากการขับแกร็บฟู้ดส่งอาหารเพื่อหารายได้แล้ว ขณะนี้ “เบิร์ด-พิทยา ณ ระนอง” ยังคงดิ้นรนทำมาหากินในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ด้วยการทำอาชีพเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ด้วยการเป็นพ่อค้าขายกะปิกุ้ง โดยตระเวนรับส่งสินค้าและแนะนำสินค้าให้กับลูกค้าทั้งที่เป็นร้านขายของกินของฝาก ร้านอาหาร และลูกค้าซื้อปลีกในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยตัวเอง ซึ่งเบื้องต้นในระยะแรกเริ่มพบว่าลูกค้าให้ผลตอบรับดีในระดับหนึ่ง โดยการเป็นพ่อค้าขายกะปิของ “เบิร์ด พิทยา” นั้น เป็นการทำควบคู่และสลับกับการขับแกร็บฟู้ดส่งอาหาร
ทั้งนี้จากการสอบถาม “เบิร์ด พิทยา” อดีตนักแสดง นายแบบลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ที่ปัจจุบันอายุ 50 ปี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ทำอาชีพเพิ่มอีกหนึ่งอาชีพด้วยการเป็นพ่อค้ากะปิ ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการที่ตัวเองไปขับแกร็บฟู้ดส่งอาหารเพื่อหารายได้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และมีการนำเสนอข่าวออกทางสื่อ
จากนั้นได้รับการติดต่อจากเพื่อนทางเฟซบุ๊กรายหนึ่งที่ทำกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหาร อยู่ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทราบข่าวและเห็นใจอยากจะช่วยเหลือ จึงเสนอให้ตัวเองเป็นตัวแทนขายกะปิกุ้งแท้100% อย่างดีของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้และอีกอาชีพหนึ่ง ซึ่งตัวเองสนใจและตอบตกลง
โดยกะปิที่นำมาขายเป็นกะปิผลิตจากกุ้งเคยคัดพิเศษคุณภาพดีใช้ชื่อว่า “เคยดี๊ดี By Phittaya Na Ranong” มี 2 แบบ คือ กะปิกุ้งบดละเอียด และกะปิกุ้งเป็นตัว บรรจุในกระปุกขนาดบรรจุกระปุกละ 500 กรัม ขายราคากระปุกละ 140 บาท ทั้งนี้ตัวเองเพิ่งจะเริ่มต้นขายกะปิได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เริ่มต้นจากทดลองรับมาครั้งละ 10-20 กระปุก แล้วจากนั้นขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนนำสินค้าไปแนะนำตามร้านขายของกินของฝาก และร้านอาหาร ในตัวเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งคนรู้จักที่ตัวเองประกาศขายผ่านทางเฟซบุ๊กด้วย ปรากฏว่าได้ผลตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี จนขายหมดเกลี้ยง มีการสั่งซื้อซ้ำและช่วยแนะนำบอกต่อกันด้วย
เบื้องต้น มีลูกค้าประจำแล้วเป็นร้านขายของกินของฝากที่รับเป็นตัวแทนในจังหวัดเชียงใหม่แล้ว 4 ร้าน และร้านอาหารอีกหลายร้านที่นำไปใช้ไปเป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร ทำให้ตัวเองต้องสั่งซื้อกะปิจากทางวิสาหกิจชุมชนที่หาดใหญ่เพิ่มเป็นครั้งละ 100-200 กระปุก และแต่ละครั้งสามารถขายหมดในเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น ซึ่งเมื่อได้รับกะปิที่ส่งตรงมาจากหาดใหญ่แล้ว จากนั้นจะต้องมีการจัดทำบัญชีรายการต่างๆ และตระเวนจัดส่งให้ลูกค้า ซึ่งต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะเป็นช่วงเริ่มต้นของอาชีพใหม่ ทำให้ตลอดช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเองไม่ได้ขับแกร็บฟู้ดเลย เนื่องจากเวลาในแต่ละวันหมดไปกับการขายกะปิแล้ว
อย่างไรก็ "เบิร์ด พิทยา" ยืนยันว่า ยังไม่เลิกขับแกร็บฟู้ดแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าในช่วงนี้มีความจำเป็นต้องเดินหน้าทำตลาดและจัดวางระบบเกี่ยวกับขายกะปิให้ลงตัวพอสมควรเสียก่อน เพราะเพิ่งเริ่มตั้งต้น ซึ่งเมื่อระบบทุกอย่างลงตัวแล้ว ตัวเองจะใช้เวลาที่เหลือนอกเหนือจากการขายกะปิไปขับแกร็บฟู้ดตามเดิมแน่นอน โดยจะเป็นการทำอาชีพทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวันและตั้งใจให้มีเหลือเก็บออมบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าเฉพาะการขับแกร็บนั้น รายได้ไม่ได้สูงและเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวในแต่ละวันเท่านั้น จึงจำเป็นต้องทำอาชีพอื่นควบคู่กันไปด้วย
ซึ่งนอกจากกะปิที่นำมาขายแล้ว ตัวเองยังได้รับกาแฟดริปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟคั่วมือและท่องเที่ยวเชิงเกษตร จังหวัดระนอง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในคุณภาพของกาแฟจากการประกวดในระดับประเทศและนานาชาติ มาขายด้วย ใช้ชื่อว่า “กาแฟ พิทยา ณ ระนอง” เป็นกาแฟโรบัสต้า 100% คั่วบดบรรจุซอง ขายกล่องละ 350 บาท บรรจุกล่องละ 10 ซอง ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสั่งซื้อหรือสอบถามรายละเอียดได้ทางเพจเฟซบุ๊ก “เคยดี๊ดี By Phittaya Na Ranong” หรือ หมายเลขโทรศัพท์ 083-5687447 โดยขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ตัวเองเสมอมา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหาในช่วงสถานการณ์นี้ว่า อย่าท้อถอยและลุกขึ้นสู้ แล้วฝ่าฟันไปจากนั้นทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่