พ่อบุญธรรม "ดาราหนุ่ม" ประกาศขายบ้าน อ้างลูกดังแล้วเท ทิ้งหนี้กว่า 7 ล้าน ให้รับผิดชอบ
พ่อบุญธรรม "ดาราหนุ่ม" อ้าง วิ่งเต้นกู้เงิน สนับสนุนลูกจนได้เป็นดารา สุดท้ายถูกตัดสัมพันธ์ เซ็นยกเลิกเป็นพ่อบุญธรรม ทิ้งหนี้สินหลายล้านให้รับผิดชอบ
ความคืบหน้า ดร.ณัฐพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อาจารย์ประจำหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพ่อบุญธรรมของดาราหนุ่มคนหนึ่ง ออกมาประกาศขายบ้าน ภายในหมู่บ้านชื่อดัง ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา โดยให้เหตุผลว่ามีความจำเป็นทางด้านการเงินและกำลังจะถูกธนาคารฟ้องร้อง
พร้อมกับเปิดเผยประเด็นความขัดแย้งภายในครอบครัว ที่ทำให้ลูกบุญธรรมขอตัดความสัมพันธ์ ความเป็นพ่อบุญธรรมและความเป็นผู้ปกครอง จนถึงขั้นฟ้องร้องกัน และต่อมาได้มีการเซ็นยกเลิกการเป็นพ่อบุญธรรมและผู้ปกครอง กับมีการหย่าร้างกับภรรยาในที่สุดด้วย
ต่อมา ดร.ณัฐพงศ์ ได้ยื่นฟ้องให้ภรรยาและดาราหนุ่มคนดังกล่าว ให้ร่วมรับผิดชอบหนี้สินที่ได้กู้มาประมาณ 4 ล้านกว่าบาท กับธนาคาร 2 แห่ง โดยแบ่งหนี้ออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนของ ดร.ณัฐพงศ์ ส่วนของอดีตภรรยา และส่วนของดาราหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกบุญธรรม เพราะตนแบกรับภาระหนี้สินไม่ไหว หาเงินใช้หนี้คนเดียวไม่พอ จนต้องถูกธนาคารฟ้องให้ชดใช้หนี้สิน ซึ่งปัจจุบันเรื่องยังอยู่ชั้นการพิจารณาของศาล
ล่าสุด วันนี้ (14 มิ.ย.) ดร.ณัฐพงศ์ ได้เปิดใจอีกครั้งถึงเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่า ตั้งแต่ตนเองและภรรยาได้ขอดาราหนุ่มมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ตอนน้องเรียนอยู่ชั้น ม.3 อายุประมาณ 15 ปี และได้ส่งเสริมให้ได้เรียนและทำกิจกรรม จนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชื่อดัง วิชาเอกการแสดง จนจบปริญญาตรี
โดยระหว่างนั้นตนได้กู้เงินจาก 2 ธนาคาร เป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้เข้าสู่วงการแสดง และได้เช่าคอนโด ซื้อรถยนต์ ให้ใช้ และจะมีค่าใช้จ่ายๆ อื่น เพื่อปรับลุคให้พร้อมสำหรับเป็นนักแสดง โดยมีภรรยาของตนเองลาออกจากข้าราชครูมาเป็นผู้ดูแลลูกชายที่กรุงเทพฯ จนลูกประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป
แต่หลังจากนั้นด้วยความที่ตนอยากให้ลูกตื่นตัว มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ดูแลร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับทำงานด้านการแสดงและพิธีกรอยู่ตลอดเวลา จึงได้เข้มงวดกำชับให้ลูกปฏิบัติตาม แต่ก็ทำให้ลูกไม่พอใจเหมือนถูกบังคับ จนวันหนึ่งเห็นลูกตื่นมาก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์ ไม่อาบน้ำ ไม่มีความกระตือรือร้น จึงเข้าไปต่อว่า แต่ถูกลูกตะคอกใส่และทำร้ายร่างกาย
จนในที่สุด ลูกได้ขอตัดความสัมพันธ์ความเป็นพ่อบุญธรรม และความเป็นผู้ปกครอง จนถึงขั้นฟ้องร้องกัน และมีการเซ็นต์ยกเลิกการเป็นพ่อบุญธรรม ส่วนตนกับภรรยาก็ได้หย่าร้างกันด้วย ตอนนี้ตนจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ต้องต่อสู้กับปัญหาภาระหนี้สินเพียงลำพัง โดยมีหนี้ในระบบอยู่ประมาณ 4 ล้านกว่า และยังมีหนี้นอกระบบอีก รวมแล้วกว่า 7 ล้านบาท
ดังนั้นการจะพูดหรือต่อสู้อะไร จำเป็นต้องพูดด้วยหลักฐาน และมูลเหตุของความขัดแย้งก็มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ที่ตกลงร่วมกันไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเป็นนักแสดง การดูแลตนเองให้พร้อมรับงาน เรื่องชู้สาว เรื่องความประพฤติ การวางตัว และอีกหลายๆ อย่าง
ส่วนประเด็นหนี้สินเริ่มมาจากการที่ตนต้องดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด เนื่องจากภรรยาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกบุญธรรมอย่างเต็มตัว ส่วนดาราหนุ่มคนดังกล่าวก็รับงานได้น้อยลง เพราะต้องเรียนให้จบก่อน จึงรายได้ลด
ตนจึงต้องวิ่งเต้นหากู้ยืมเงินมาจัดสรรให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยลูกบุญธรรมไม่เคยรับรู้รับทราบปัญหาหนี้สินเหล่านี้ มีเพียงภรรยาที่รับทราบร่วมกันว่า ตนไปกู้ยืมเงินมาจากที่ใดบ้างเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว แต่เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งกันขึ้น ก็จะโยนความผิดมาที่ตนเพียงคนเดียว
ซึ่งเหตุผลที่ตนรับดาราหนุ่มมาเลี้ยงดูก็ด้วยความรัก และอยากจะส่งเสริมให้ได้ดีตามเส้นทางที่เจ้าตัวต้องการ จึงยอมทุ่มทุนลงทุนทุกอย่างเพื่อให้มีตัวตนในวงการบันเทิง โดยจะต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกที่ว่า เมื่อโด่งดังไปแล้ว จะได้มีเงินมีทองใช้จ่าย ปลดเปลื้องหนี้สิน และยังได้เผื่อแผ่ดูแลพ่อแม่พี่น้องให้มีความสุขไปด้วย
แต่เมื่อเหตุการณ์มันเปลี่ยนไป ตนก็อยากจะให้ลูกและภรรยามีความรับผิดชอบ อย่าได้ทิ้งภาระให้ตนเพียงคนเดียว จึงได้พึ่งศาลเพื่อขอความเป็นธรรม โดยหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินเพื่อมาใช้จ่ายให้กับลูกบุญธรรม ตนเองเก็บไว้หมด และเตรียมที่จะแถลงต่อศาลต่อไป
ซึ่งช่วงนี้ตนก็ต้องวิ่งเต้นหาเงินมาจ่ายหนี้รายเดือน โดยน้องของตนได้ให้ความช่วยเหลือ ด้วยการประกาศขายบ้านที่น้องให้ตนพาแม่มาอาศัยดูแล เพื่อนำเงินส่วนต่างมาช่วยแบ่งเบาชำระหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างนี้ไปก่อน ก่อนที่ทางธนาคารจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดฟ้องร้องให้ตนเป็นบุคคลล้มละลาย