"นิวยอร์กชนะ" ปลดล็อกคุมโควิดเกือบหมด หลังผู้ใหญ่ 70 เปอร์เซ็นต์ ได้ฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรก
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กปลดมาตรการคุมโควิด จนเกือบกลับสู่ระดับปกติ หลังผู้ใหญ่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เข้าถึงวัคซีนเข็มแรก เช่นเดียวกับรัฐแคลิฟอร์เนียที่ยกเลิกมาตรการโควิดเกือบทั้งหมดแล้ว
แอนดรูว์ โคโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ประกาศว่ารัฐนิวยอร์กมีชัยชนะเหนือการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 หรือ โควิด-19 โดยรัฐนิวยอร์กกำลังเดินหน้าสู่การยกเลิกข้อจำกัดในมาตรการคุมระบาดของโควิดในทุกๆ รูปแบบที่รัฐแห่งนี้เคยบังคับใช้ หลังมีประชากรวัยผู้ใหญ่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เข้าถึงวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มแล้ว
ในการแถลงของผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เมื่อ 15 มิถุนายน ตามเวลาท้องถิ่น ที่อาคารเวิล์ดเทรด เซ็นเตอร์ โคโม ประกาศว่าวันนี้นับเป็นวันสำคัญยิ่งของชาวนิวยอร์ก "รัฐนิวยอร์กฉีดวัคซีนประชากรผู้ใหญ่ในสัดส่วนที่มากกว่ารัฐใดๆ ในประเทศ มันเป็นหลักชัยที่สำคัญ และเรากำลังผลักดันให้มากกว่านี้" โคโมกล่าวท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้คน เขาระบุว่า รัฐบาลท้องถิ่นพร้อมเดินหน้าส่งเสริมประชาชนชาวนิวยอร์กให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดมากขึ้น "คำสั่งของรัฐทั้งหมดจะจบลงในวันนี้และจะมีผลในทันที"
ก่อนหน้านี้ช่วงการระบาดอย่างหนัก นิวยอร์กเป็นมลรัฐมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเป็นลำดับต้นของสหรัฐฯ จนถึงปัจจุบันมีสถิติผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อมากเป็นอันดับสองของประเทศมากกว่า 53,000 ราย ส่วนอันดับหนึ่งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สถิติผู้ติดเชื้อมากถึง 63,000 ราย
แต่ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 15 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา แอนดรูว์ โคโม (Andew M. Cuomo) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ได้ประกาศยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดในส่วนใหญ่ ถือเป็นการ “หวนคืนสู่ชีวิตที่เราเคยรู้จัด”
ส่งผลให้ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่าง 6 ฟุตอีกต่อไป สถานที่สาธารณะอย่าง โรงภาพยนตร์สามารถเปิดทำการได้ตามปกติโดยไม่ต้องใช้มาตรการเว้นที่นั่ง และในการเดินทางเข้าอาคารสถานที่ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องทำการตรวจวัดอุณหภูมิ
ขณะที่ภาคเอกชนสามารถกำหนดมาตรการทางเลือกการเฝ้าระวังในรูปแบบของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการที่เข้มงวดจะยังคงประกาศใช้กับสถานพยาบาล สถานศึกษา และการขนส่งสาธารณะเท่านั้น
โคโม ระบุว่า ข้อจำกัดด้านการค้าและสังคมจะถูกยกเลิกทันที แต่ข้อจำกัดบางอย่างตามกรอบคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) จะยังคงอยู่ หนึ่งในนั้นรวมถึงมาตรการที่บังคับใช้ในระบบขนส่งสาธารณะ และบริเวณสถานพยาบาลทั้งหลาย
แม้จะมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนโดสแรกเป็นที่พึงพอใจ ทว่าปัญหาใหญ่กว่านั้นคือการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนยินยอมเข้ารับวัคซีน ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ยังคงขอความร่วมมือให้ยังคงสวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะที่รัฐบาลกลางได้พยายามใช้มาตรการต่างๆ สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ารับการฉีด
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รัฐนิวยอร์กมีสถิติผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในระดับต่ำ จึงได้ทำการคลายมาตรการบางส่วนไปบ้าง แต่การประกาศล่าสุดนี้ ถือเป็นการประกาศ “ยกเลิก” มาตรการเกือบทั้งหมดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้น ไม่ใช่แค่นิวยอร์กเท่านั้น แต่มลรัฐโดยรอบนิวยอร์กมีสถิติการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย และกำลังทยอยคลายมาตรการควบคุมลง
แคลิฟอร์เนียเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขณะเดียวกันอีกฝ่ากหนึ่งของประเทศ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีประกาศยกเลิกมาตรการเกือบทั้งหมดพร้อมกัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนโดสแรกกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วเช่นกัน
เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า "อรุณสวัสดิ์แคลิฟอร์เนีย วันนี้เป็นวันเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เราได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนแล้วกว่า 40 ล้านราย"
สำหรับรัฐแคลิฟอร์เนีย อันเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐ กลับมาเปิดเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง หลังจากจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดน้อยลง และจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐการขยายสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนมากขึ้น การดำเนินการดังกล่าวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในรัฐแคลิฟอร์เนียมีแนวโน้มที่สดใส หลังรัฐต้องเผชิญการระบาดของวิกฤตโควิดมานานกว่า 1 ปี
นิวซัม ระบุว่า "ตอนนี้ เราไม่ต้องเว้นระยะห่างทางสังคมอีกต่อไป อีกทั้งไม่ต้องจำกัดจำนวนการรวมตัวกัน ไม่จำเป็นต้องแบ่งระดับสีหรือระดับเขต หากคุณฉีดวัคซีนแล้ว ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีประชากรราว 40 ล้านราย
ผู้ว่าฯ แคลิฟอร์เนียยังกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่บุคลากรการแพทย์ว่า "การแพร่ระบาดของโควิด นำมาซึ่งความท้าทายที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน แต่ชาวแคลิฟอร์เนียก็สามัคคีกันเพื่อปกป้องซึ่งกันและกัน ตอนนี้เรากลายเป็นรัฐที่มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนมากที่สุด และมีอัตราผู้ป่วยที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ ทั้งหมดเป็นเพราะการทำงานหนักของพวกคุณ"
หน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐได้ออกคำสั่งฉบับใหม่ ระบุว่า ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งหมดสามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องจำกัดความจุหรือเว้นระยะห่างทางสังคม ส่วนผู้ที่รับวัคซีนครบโดสแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไปในสถานที่สาธารณะ
อย่างไรก็ดี สาธารณสุขของรัฐยังระบุในคำสั่งว่า ประชาชนยังจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ เครื่องบิน, เรือ, เรือข้ามฟาก, รถไฟ, รถไฟใต้ดิน, รถประจำทาง, แท็กซี่ รวมถึงระหว่างอยู่ภายในศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งไม่ว่าจะเป็น สนามบิน, สถานีขนส่ง, ท่าจอดเรือ, สถานีรถไฟ, ท่าเรือ และสถานีรถไฟใต้ดิน