ลืออาถรรพ์ทำไฟไหม้ เจ้าของใหม่ปลูกบ้านทับซากหลังเก่า เจ้าของเดิมเสียสติก่อนตาย
ลืออาถรรพ์ทำไฟไหม้ เจ้าของใหม่ปลูกบ้านทับซากหลังเก่า เปลี่ยนมือมาแล้ว 3 ทอด เจ้าของเดิมเสียสติก่อนตาย
(19 มิ.ย.64) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นางวิไล อายุ 62 ปี ชาว อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีบ้านเรือนพักอาศัยอยู่ด้านฝั่งตรงข้ามกับบ้านหลังใหม่ ที่เพิ่งทำการปลูกสร้างและตบแต่งแล้วเสร็จ ก่อนได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นภายในบ้านทั้งที่ไม่มีคนพักอาศัยอยู่เมื่อช่วงเวลาประมาณ 02.00 น.ที่ผ่านมา อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งที่ได้มีการล็อกกุญแจรั้วบ้านชั้นนอกเอาไว้อย่างแน่นหนา จนทำให้ชาวบ้านต่างพากันแปลกใจ และออกมาวนเวียนมุงดูในที่เกิดเหตุเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองกำกับการพิสูจน์หลักฐานฉะเชิงเทรา เดินทางมาตรวจสอบยังในที่เกิดเหตุ เมื่อช่วงเวลา 12.00 น. พร้อมกับกันชาวบ้านผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ
และต่อมาชาวบ้านจึงได้มายืนรวมกันยังที่บริเวณด้านหน้าประตูรั้วปากทางเข้าไปยังภายในบริเวณบ้านหลังดังกล่าวเป็นจำนวนมากหลายสิบราย พร้อมกับได้มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงความอาถรรพ์ของสถานที่เกิดเหตุ โดยได้มีชาวบ้านหลายรายได้ตั้งคำถามต่อกันด้วยความสงสัยว่า ทางเจ้าของบ้านคนใหม่ที่เข้ามาก่อสร้างบ้านทับบ้านร้างหลังเดิมนั้น ได้มีการขอขมาหรือขออนุญาตจากทางเจ้าที่ในที่ดินแปลงนี้หรือไม่
เนื่องจากชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าเจ้าที่ในที่ดินแปลงนี้มีอาถรรพ์แรงมาก จึงเกิดเพลิงไหม้บ้านขึ้นทั้งที่ยังไม่มีคนเข้ามาอยู่อาศัยทั้งที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จ และเพิ่งย้ายคนงานออกไป รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวยังมีความเป็นมาที่น่าเกรงขาม และดูรกจนน่าสะพรึงกลัว ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของรายใหม่จะนำรถแทรกเตอร์มาดันพื้นที่และตัดโค่นต้นไม้ที่ขึ้นรกไปทั่วพื้นที่ออกไปจนดูโล่งเตียน
โดยนางวิไล ยังเล่าว่า เดิมบ้านหลังนี้พร้อมที่ดินได้ถูกปล่อยร้างมานานแล้วหลายปี จนมีวัชพืชและต้นไม้ขึ้นปกคลุมโดยเฉพาะต้นกระบองเพชร ยังได้เลื้อยไต่ขึ้นไปคลุมทั่วทั้งตัวบ้านหลังเก่า ที่ถูกทุบนำหลังคาเหล็กออกไปจนเหลือแต่กำแพงฝาบ้านคอนกรีตเพียงครึ่งหลัง ที่ผ่านมาคนในหมู่บ้านไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาใกล้ในเวลากลางคืนอีกด้วย เนื่องจากภายในบริเวณสระน้ำที่หลังบ้านหลังนี้ยังเคยมีเด็กวัย 2 ขวบ ในหมู่บ้านพลัดตกลงไปจมน้ำเสียชีวิตอีกด้วย
ขณะที่ นายประนอม อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านดั้งเดิมอยู่ในชุมชนเล่าว่า บ้านหลังนี้เดิมเป็นของ นายลาภ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.7 ต.เกาะขนุน ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนผ่านมือกันมาแล้วถึง 3 ทอด โดยที่บ้านหลังเดิมนั้นเป็นบ้านไม้แต่เมื่อนายลาภ ได้เสียชีวิตลงที่บ้านหลังนี้จึงได้มีการรื้อบ้านออกไป ก่อนที่จะมีนายจี๊ด ไม่ทราบชื่อจริง ที่ได้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ และซื้อที่ดินแปลงนี้ต่อจากธนาคารไว้
จากนั้นได้เข้ามาขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกไผ่ ปลูกต้นไม้ แต่ก็ทำกินไม่ประสบความสำเร็จ พร้อมกับได้เริ่มมีอาการป่วยลง จึงได้เดินทางกลับไปยังกรุงเทพฯ และเสียชีวิตลงไปในที่สุด แต่ตนก็ไม่ได้เชื่อในเรื่องอาถรรพ์อะไรของพื้นที่ เพียงแต่ได้แต่คิดว่าทางเจ้าของที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้บอกกล่าวขอต่อทางเจ้าที่เจ้าทางในพื้นที่หรือไม่ก่อนที่จะเข้ามาทำอะไรในพื้นที่ นายประนอม กล่าว
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางเข้าไปพบ นางสน อายุ 84 ปี อดีตภรรยาคนที่ 2 ของผู้ใหญ่ลาภ ซึ่งมีอายุน้อยกว่านายลาภถึง 2 รอบ โดยระบุว่านายลาภ ผู้เป็นสามีเกิดในปี พ.ศ.2458 เดิมได้เคยจดทะเบียนสมรสอยู่กินกันมานานกว่า 20 ปี ที่บ้านหลังเดิมในที่ดินแปลงดังกล่าวจนมีบุตรด้วยกันเกือบ 10 คน แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินกระดูกผี ที่เป็นดินดำลักษณะเป็นก้อนกรวด จึงทำกินไม่ขึ้นเพราะเก็บน้ำไม่อยู่
โดยเป็นที่ดินของนายลาภ ผู้เป็นสามีที่ได้เข้ามาแพ้วถางจับจองอาศัยอยู่จนได้เป็นที่ดินมีโฉนดกว่า 30-40 ไร่ ซึ่งเมื่อก่อนใช้เป็นทำนาแต่ได้ข้าวไม่พอกิน จึงขุดเป็นบ่อเลี้ยงปลาแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงใช้เป็นเพียงที่อยู่อาศัยเรื่อยมาโดยที่ไม่ได้ทำอะไร ต่อมาสามีได้มาปรึกษาและยกให้แก่บุตรชายคนที่ 3 และให้ตนมีชื่อในกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย เนื่องจากเห็นว่าบุตรคนนี้เป็นคนที่ทำกินอยู่กับครอบครัว เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำกินเลี้ยงพ่อแม่และเลี้ยงน้องต่อไป
แต่เมื่อบุตรชายคนที่ 3 ได้ลงมือทำกินด้วยการขุดเป็นบ่อเลี้ยงกุ้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเนื่องจากดินไม่อุ้มน้ำ ทั้งยังประสบปัญหาการขาดทุน จนต้องนำเอาที่ดินไปเข้าจำนองไว้กับทางธนาคารจนถูกธนาคารยึดนำไปขายทอดตลาดในที่สุด และได้มีการเปลี่ยนมือไปยังเจ้าของใหม่ โดยบ้านหลังเก่าได้มีการรื้อถอนเอาไม้ออกไปหลังจากนายลาภ เสียชีวิตลงแล้ว
โดยก่อนเสียชีวิตทางฝ่ายสามีได้มีอาการเสียสติ และได้มาขอร้องให้ตนเซ็นใบหย่าจากกันให้ เพราะเหตุจากเกิดความระแวงทั้งที่ไม่มีอะไร ตนจึงยอมเซ็นใบหย่าให้แต่โดยดี ก่อนที่นายลาภจะเสียชีวิตลงในวัย 78 ปี เมื่อปี พ.ศ.2536 ส่วนเจ้าของใหม่รายต่อๆ มาจะปลูกบ้านกันอย่างไรนั้นตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน และไม่เคยกลับไปดูยังที่ดินแปลงเดิมอีกเลย ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่เพียงประมาณ 1 กม.เศษ เท่านั้น