อดีตฮีโร่อาเซียนพาราเกมส์ ถูกสาวแสบหลอกดาวน์รถ ทิ้งภาระหนี้ 3 ล้าน ซ้ำบ้านถูกยึด
อดีตฮีโร่อาเซียนพาราเกมส์ ร้อง ป. ถูกสาวแสบหลอกดาวน์รถ ก่อนเชิดหนี จนกลายเป็นหนี้ กว่า 3 ล้าน – บ้านถูกยึด
นายบริพัตร จงวิวัฒนธรรม อายุ 41 ปี นักกีฬาโบว์ลิ่งคนพิการตาบอดทีมชาติไทย พร้อม น.ส.สุภาพร รูปชัยภูมิ อายุ 41 ปี ภรรยา อาชีพเจ้าหน้าที่พยาบาล เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ชนินทร ง่วนสน รอง ผกก.สอบสวน บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังถูกมิจฉาชีพหลอกนำเอกสารไปยื่นดาวน์รถยนต์ป้ายแดง และรถมือสอง รวมถึงค้ำประกันรถยนต์ ก่อนเชิดรถหนีไป จนกลายเป็นหนี้สินกว่า 3 ล้านบาท และถูกยึดบ้าน
โดย น.ส.สุภาพร กล่าวว่า เมื่อปี 59 ตนและสามี ต้องการจะซื้อรถ แต่ติดปัญหาถูกขึ้นแบล็คลิสต์เครดิตบูโร กระทั่งพบเห็นป้ายโฆษณารับจัดซื้อรถแม้ติดเครดิตบูโร ที่ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้าริมทาง จึงโทรศัพท์ติดต่อไปสอบถาม โดยมี น.ส.จุฑามาศ หรือ ดาว ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้รับสายและให้คำปรึกษา ก่อนนัดหมายพาตนและสามีนำเอกสาร สลิปเงินเดือน ไปติดต่อขอยื่นซื้อรถกระบะป้ายแดง รวมถึงพาไปติดต่อยื่นซื้อรถมือสองที่เต็นท์รถอีกแห่งหนึ่งสำรองไว้ หากเอกสารยื่นซื้อรถป้ายแดงไม่ผ่านการพิจารณา
ต่อมาทางโชว์รูมรถป้ายแดงติดต่อกลับมาแจ้งว่า เอกสารผ่านการพิจารณาแล้ว สามารถออกรถได้ แต่จะต้องจ่ายเงินดาวน์จำนวน 120,000 บาท จึงจะสามารถทำสัญญาซื้อรถได้เลย แต่เนื่องจากตนเองและสามี มีเงินอยู่เพียง 50,000 บาท ทาง น.ส.จุฑามาศ จึงเสนอตัวให้การช่วยเหลือออกเงินดาวน์ให้ก่อน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องนำไปจอดเก็บไว้ที่โกดังบริษัทของตนเองก่อน ซึ่ง น.ส.จุฑามาศ อ้างว่าอยู่ไม่ไกลจากโชว์รูม เมื่อตนและสามีหาเงินดาวน์มาคืนให้ได้ครบจำนวน จึงจะสามารถนำรถกลับไปได้ จึงตอบตกลงทำตามข้อเรียกร้อง
ขณะเดียวกันทางเต็นท์รถมือสอง ก็ได้ติดต่อมาหาพร้อมกับแจ้งว่าเอกสารการกู้ซื้อรถผ่านการพิจารณาด้วยเช่นกัน แต่ตนเห็นว่าเอกสารที่ยื่นซื้อรถป้ายแดงผ่านการพิจารณาแล้ว จึงตอบปฏิเสธเต็นท์ โดยไม่ได้มีการขอเอกสารหลักฐานที่เคยยื่นไว้กลับคืนมา ต่อมาหลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อสามารถหาเงินได้ครบจำนวนแล้ว กลับไม่สามารถติดต่อกับ น.ส.จุฑามาศ ได้ อีกทั้งเมื่อไปตรวจสอบที่โกดังเก็บรถดังกล่าว ก็ไม่พบรถจอดอยู่
นอกจากนี้ ยังมาทราบในภายหลังอีกว่า น.ส.จุฑามาศ ได้ใช้เอกสารของตนเองแอบดำเนินการดาวน์รถที่เต็นท์รถมือสองย่านบางใหญ่ แล้วเชิดหนีไป รวมถึงมาทราบความจริงว่า ถูก น.ส.จุฑามาศ หลอกให้เซ็นชื่อเป็นผู้ค้ำประกันออกรถให้กับเพื่อนของ น.ส.จุฑามาศ ด้วย ซึ่งต่อมาทราบข่าวว่าเพื่อนของ น.ส.จุฑามาศ คนดังกล่าว คือผู้ต้องหาขบวนการโจรกรรมรถส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความกังวลใจ นำเรื่องเข้าแจ้งความตามสถานีตำรวจ แต่ไม่มีที่ใดรับแจ้งความ ทำได้เพียงแค่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ด้านนายบริพัตร กล่าวว่า หลังจากที่ น.ส.จุฑามาศ ได้รถทั้ง 2 คันไปแล้วนั้น กลับไม่ยอมส่งค่างวดรถให้กับทางบริษัทไฟแนนซ์ ทำให้มีหนังสือบังคับคดีส่งมาที่บ้านของตน โดยแจ้งว่าขณะนี้บ้านได้ถูกนำไปขายทอดตลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนำไปใช้หนี้รถที่ น.ส.จุฑามาศ แอบนำเอกสารของตนและภรรยาไปใช้เป็นหลักฐานซื้อ นอกจากนี้ยังมีเอกสารจากทางบริษัทไฟแนนซ์อีกแห่ง ส่งมาทวงค่างวดรถป้ายแดงอีกคัน รวมถึงเอกสารทวงค่างวดรถของเพื่อน น.ส.จุฑามาศ ต่อมาเมื่อเดือน ธ.ค. 2563 ตนยังได้รับการติดต่อจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจใน จ.นครพนม ว่า รถยนต์มือสองที่ น.ส.จุฑามาศ แอบนำเอกสารของตนซื้อกับเต็นท์รถย่านบางใหญ่นั้น ได้กลายเป็นของกลางคดียาเสพติด เนื่องจากถูกใช้เป็นยานพาหนะขนลำเลียงกัญชาอัดแท่งจำนวนกว่า 200 กิโลกรัม ทางตนและภรรยาจึงได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ไปที่มาของรถคันดังกล่าวให้ทางตำรวจได้รับทราบ ก่อนจะมีการเชิญไปให้ปากคำในฐานะพยานคดีดังกล่าว
เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ พร้อมกับสอบปากคำก่อนรวบรวมประสานส่งต่อให้กับทางผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
สำหรับประวัติของนายบริพัตร ผู้เสียหายนั้น เป็นนักกีฬาโบว์ลิ่งคนพิการทีมชาติไทย ทำผลงานสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาแล้วมากมาย อาทิ รางวัลเหรียญทองแดงการแข่งขันเอเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2561 และรางวัลการแข่งขันโบว์ลิ่งคนพิการชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ประเภทบี2 สายตาเลือนรางมาก อีกด้วย