เหยื่อโอเกะมีอีก! นศ.ป.เอก โดนชาร์จ1.6หมื่น
เหยื่อคาราโอเกะมหาโหด "เมโลดี้" รุดให้การสน.ประชาชื่นอีก ยันพฤติกรรมชาร์จค่าบริการแพงเว่อร์ 3 หมื่น รวมทั้งส่งคนมาล้อมกรอบข่มขู่คุกคาม ขณะเดียวกัน ทางร้านเมโลดี้ก็ส่งหญิงนั่งดริงก์มาโต้ อ้างว่าถูกทั้งชาย-หญิงคู่นี้ปิดห้องลวนลาม เลยต้องเปิดห้องแล้วเรียกสาวๆมาอยู่เป็นเพื่อนเยอะๆ โผล่อีกเหยื่อเก่าร้านเมโลดี้ เป็นหนุ่มน.ศ.ปริญญาเอกกับเพื่อน น.ศ.ปริญญาโท เข้าให้การสน.ประชาชื่นในฐานะพยาน เคยโดนร้านนี้ชาร์จอ่วม 1.6 หมื่น พอจะไม่จ่ายก็โดนล้อมกรอบเหมือนๆ กัน แฉใช้วิธีเอาขวดโซดาจากที่อื่นมาตั้งปนขวดที่กินอยู่ดื้อๆ เชียง ใหม่ฉาวมีร้านคาราโอเกะโหดแบบเดียวกัน เหยื่อเป็นน.ศ. โดนสาวนั่งดริงก์ลากไปเที่ยว แล้วสาวๆ ในร้านรุมทึ้งกิน จนต้องเป็นหนี้ 2.6 หมื่น ถูกนักเลงคุมร้านโทร.ขู่จนทุกวันนี้
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 21 ต.ค. ร.ต.ต. อัฏฐะพันธ์ ใจเที่ยง อายุ 42 ปี อดีตตำรวจ พร้อมน.ส.อารีวรรณ สาธรรม อายุ 43 ปี แฟนสาว เดินทางมาที่สน.ประชาชื่น เพื่อเข้าพบ พ.ต.ท.สุรพล ขาวคม พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ประชาชื่น เพื่อชี้ตัวกลุ่มผู้ต้องหา ที่ล็อกตัวไม่ให้ออกจากห้องคาราโอเกะ หลังจากเข้า ไปเที่ยวที่ร้านคาราโอเกะเมโลดี้ ถนนงามวงศ์ วาน และถูกชาร์จค่าใช้จ่ายกว่า 3 หมื่นบาท
ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนได้นัดแฟนสาวพร้อมน้องสาวแฟนมาเที่ยวที่ร้านคาราโอเกะแห่งนี้ แต่เนื่องจากน้องสาวแฟนไม่สบาย จึงได้มากัน 2 คน เมื่อมาถึงที่ร้าน มีเงินอยู่จำนวนไม่มากนัก จึงได้ว่าจ้างเด็กที่ร้านให้ไปกดเงินที่ฝั่งตรงข้ามมาจำนวนหนึ่ง เมื่อกดเงินได้แล้วก็เข้ามานั่งที่ร้าน ตนก็ขอเปิดห้องร้องคาราโอเกะ ซึ่งอยู่ชั้น 2 ของร้าน โดยมีพนักงานผู้หญิงหรือมาม่าซัง เสนอโปรโมชั่นต่างๆ ให้ แต่ตนไม่ต้องการ ได้สั่งเหล้าเรดเลเบิ้ล พร้อมด้วย โซดา น้ำ และกับแกล้มอีก 2 อย่าง พร้อมทั้งเรียกเด็กในร้านมานั่ง 2 คน ซึ่งเด็กก็มาช่วยร้องเพลงและกดเพลงให้ ระหว่างนั้นก็มีพนักงานผู้หญิงหลายคนแวะเวียนเข้าออกตลอดเวลา มานั่งคุยและเดินออกไป ซึ่งตนก็บอกว่าให้ล็อกห้องเลย หากต้องการอะไรก็จะเรียกใช้เอง
ร.ต.ต.อัฏฐะพันธ์กล่าวว่า กระทั่งเวลาประ มาณ 23.30 น. มาม่าซังเดินเข้ามาส่งบิลให้ บอกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดราคา 32,000 บาท ซึ่งตนตกใจ เพราะว่าค่าใช้จ่ายมันสูงเกินไป มาม่าซังจึงได้เสนอการลดราคาให้ทันที คือ 16,350 บาท แต่ตนก็ยังเห็นว่ามันแพงเกินไป จึงให้ไปตามผู้จัดการร้านมาคุยกัน แต่มาม่าซังไม่ยอม จากนั้นมีกลุ่มชายหญิง เป็นผู้ชาย 3 หญิง 2 เข้าประกบตนและแฟน บอกว่าถ้าไม่จ่ายก็ไม่สามารถที่จะออกไปจากร้านได้ มาม่าซังยังบอกว่า ก่อนหน้านี้มีคนมาเที่ยว ค่าใช้จ่าย 90,000 บาทยังจ่ายเลย ตนก็ได้ควักเงินมาจำนวนหนึ่งซึ่งมีอยู่ 7,000 บาท แต่กะว่าจะให้แค่ 3,000 บาทเท่านั้น แต่กลุ่มที่ยืนประกบตนกลับคว้าเงินไปทั้งหมด จากนั้นตนก็พยายามที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อจะโทร.หาเพื่อนให้ช่วยเหลือ แต่ถูกคว้าโทร.มือถือไป และก็ยังคว้าเครื่องของแฟนไปด้วย ตนเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
เหยื่อร้านคาราโอเกะกล่าวว่า ขณะนั้นมีพนักงานบอกว่า เห็นตนออกไปให้เด็กกดเงินก่อนหน้านี้ มีเงินเหลืออยู่อีกหลายหมื่นบาท ตนจึงได้ให้บัตรเดบิตของธนาคารกสิกรไทยไป และทางร้านก็ได้ปล่อยตนและแฟนออกมาจากร้าน เมื่อออกมาก็มาขอเงินเศษสตางค์ร้านก๋วย เตี๋ยวด้านหน้า โทร. 191 และมาที่สน.ประชาชื่นเพื่อแจ้งความ และเมื่อมาถึงสน. ทางร้านได้ให้เด็กเอาโทร.มือถือมาคืน ซึ่งตนไม่ยอมเด็ดขาด
ต่อมาเวลา 12.30 น. นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาเอก พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง และนายชาย (นามสมมติ) อายุ 30 ปี นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง สองผู้เสียหายที่เคยหลงเข้าไปใช้บริการร้านคาราโอเกะเมโลดี้เช่นเดียวกัน เดินทางเข้าพบพ.ต.ท. สุรพล ขาวคม พนักงานสอบสวน (สบ 3) สน. ประชาชื่น เจ้าของคดี เพื่อให้ปากคำในฐานะ พยาน โดยไม่ติดใจเอาความแจ้งความดำเนินคดีกับทางร้านแต่อย่างใด
นายเอ็ม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 22.00 น. หลังจากไปเที่ยวที่ผับย่านรัชดาฯ ขากลับผ่านมาเจอร้านคาราโอเกะเมโลดี้ เห็นมีไฟสว่างไสว เด็กนั่งเต็มหน้าร้าน เลยเข้าไปสอบถามที่ร้านว่าถ้าเอาเหล้ามาเองจะเสียค่าเปิดเหล้าหรือไม่ ทางร้านก็บอกว่าไม่เสียค่าเปิดเหล้า แต่ต้องเข้ามาสั่งอาหาร 3 อย่างขึ้นไป ในราคาเกิน 500 บาท พร้อมทั้งจ่ายค่าห้องคาราโอเกะอีกชั่วโมงละ 200 บาท และต้องเรียกเด็กนั่งดริงก์มานั่งเป็นเพื่อนในราคา 200 บาทต่อ 1 ดริงก์ หรือ 30 นาที
นายเอ็มกล่าวต่อไปว่า จากนั้นพวกตนก็เข้า ไปนั่งในห้องชั้น 2 และเรียกเด็กมา 2 คน ขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงหลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเดินเข้ามาในห้องเพื่อกดเพลงให้บ้าง บางคนก็เข้ามาพูดคุยด้วย ซึ่งก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งเวลา 01.00 น. พวกตนเรียกเช็กบิล พอเห็นก็ต้องอึ้ง ตกใจสร่างเมาเลย เพราะบิลมา 16,000 บาท เท่าที่ได้ตรวจสอบบิล จำได้ก็มีมิกเซอร์ 45 ขวด ราคารวม 2,250 บาท ค่าอาหารประมาณ 800 บาท ค่าเด็กนั่งดริงก์ที่เรียกมา 2 คน รวม 4,400 บาท แต่มีเด็กนั่งดริงก์เพิ่มมาในบิลอีก 2 คน รวมเงิน 2,000 บาท นอกจากนี้ยังมีค่าอีกอื่นๆ อีก เช่น ผ้าเย็น 4 ผืน 200 บาท ลูกอม 4 จาน จานละ 100 บาท รวม 400 บาท รวมทั้งค่าน้ำส้มอีก 15 แก้ว แต่จำจำนวนเงินไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ตอนแรกผมคิดว่าค่าน้ำส้มน่าจะรวมอยู่ในค่านั่งดริงก์อยู่แล้ว แถมยังมีค่ามาม่าซังอีก 2 คน รวม 2,400 บาท
นักเที่ยวดวงซวยกล่าวว่า จากนั้นได้ให้เด็กเรียกมาม่าซังมาคุย ถามว่าทำไมแพงจัง โดยขณะนั้น ก็มีเด็กนั่งดริงก์ 2 คน มาม่าซัง 2 คน และชายฉกรรจ์อีก 2 คน มายืนคุมเชิงพวกตนไว้ไม่ให้ออกจากห้อง มาม่าซังก็พยายามแจก แจงรายละเอียดให้ฟัง อ้างว่าถ้าลูกค้าไม่จ่าย เด็กนั่งดริงก์ก็ต้องจ่ายเอง พวกตนก็พยายามเจรจาต่อรอง ขอออกไปหาเพื่อนเพื่อเอาเงินมาจ่าย แต่ทางร้านไม่ยอม พวกตนเลยยอมควักเงินจ่ายให้ไป 8,000 บาท แต่ทางร้านจะขอเก็บเพิ่มอีก พวกตนก็ขอเจรจาอีกรอบ เพื่อจะออกไปหาเพื่อน แต่ทางร้านไม่ยอมเหมือนเดิม พร้อมบอกว่า ให้เอาบัตรเครดิตหรือบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินสดมาจ่าย เรามีบริการให้นะ พวกตนไม่มีเงินในบัญชี จึงยอมเอาโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น E63 วางจำนำไว้ก่อน ซึ่งทางร้านก็ตีราคาให้ 7,000 บาท พร้อมบอกว่าให้เวลาอีก 3 วัน เพื่อหาเงินมาไถ่โทรศัพท์คืนไป ก่อนจะยอมปล่อยพวกตนกลับออกมา
เหยื่อร้านเมโลดี้กล่าวอีกว่า หลังจากนั้น กลับไปที่ร้านอีกครั้งเพื่อไถ่โทรศัพท์คืน พร้อมทั้งขอดูบิลค่าบริการทั้งหมดอีกครั้ง ตนก็เจรจาขอตัดจำนวนเงินค่าบริการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปบางส่วน จนเหลือยอดค้างประมาณ 4,500 บาท แต่เห็นว่ายังสูงเกินไปอีก เจรจาจนทางร้านยอมลดให้เหลือ 3,000 บาท พวกตนจึงยอมจ่าย และเอาโทรศัพท์มือถือคืนมา เท่าที่จำได้วันนั้น มิกเซอร์ที่ลงไว้จำนวน 45 ขวด แต่ตนนับได้แค่ 25 ขวดเท่านั้น และก็เห็นเด็กเอาขวดเปล่ามาไว้ใกล้กับขวดที่กินด้วย
"ผมก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรมาก เพราะเรื่องมันผ่านมาแล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกัน และฝากเตือนคนที่จะมาใช้บริการแบบนี้ ให้ระวังตัวไว้ด้วย ถ้าจะเที่ยวร้องคาราโอเกะ ก็ไปร้องที่ร้านคาราโอเกะเลย หรือจะเที่ยวผู้หญิงก็ให้ไปที่อาบอบนวดเลย จะได้ไม่ต้องมาเป็นแบบผมที่เสียค่าโง่" พยานกล่าว
ด้านพ.ต.ท.สุรพล กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ ขณะนี้ได้สอบปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติมในส่วนที่ยังสอบไม่ครบ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายเรียกพนักงานของร้าน ที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกล็อกตัวและข่มขู่ มาสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์ ส่วนข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวนั้นจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าได้มีพนักงานสาวนั่งดริงก์ร้านเมโลดี้ เดินทางมาที่สน.ประชาชื่น เพื่อพบพนักงานสอบ สวนเจ้าของคดี ทราบชื่อคือ น.ส.ชมพู ขอสงวนทราบสกุล อายุ 23 ปี ซึ่งมีชื่อระบุในบิลเก็บเงินแพงมหาโหดดังกล่าว เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 23.00 น. ได้มีชายหญิงสองคนเข้ามาใช้บริการคาราโอเกะ เปิดห้องวีไอพี ชั้น 2 จากนั้นมาม่าซังได้มาเรียกให้ตนกับเพื่อนอีกคนชื่อแจ๊ซเข้าไปนั่งดริงก์ ตนกับเพื่อนจะคอยคีย์เพลงให้ โดยผู้หญิงชอบฟังเพลงของทาทายัง ตนนั่งกับผู้ชายสักพัก ผู้ชายก็เริ่มลวนลามตน ตนจึงได้ให้เพื่อนมานั่งข้างด้วย ผู้ชายจึงสั่งให้ตนล็อกห้อง และสักพักตนก็ถูกผู้หญิงทำเหมือนพวกเลสเบี้ยน ตนรู้สึกผิดปกติตั้งแต่ตอนที่ผู้ชายสั่งให้ล็อกห้อง ตนจึงเปิดประตูแล้วเรียกเพื่อนๆ ให้มานั่งด้วย ส่วนค่าบริการนั่งดริงก์ ดริงก์ละ 200 บาทต่อ 30 นาที รวมเวลาตั้งแต่เวลา 22.30 น. ถึง 02.30 น.
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกรณีแบบนี้อีกไหม น.ส. ชมพู กล่าวว่า มี ทุกคนก็จ่าย เพราะมาเที่ยวดื่มกินจริง และทุกคนที่มาก็จะรู้ว่าที่ร้านเด็กนั่งดริงก์ชั่วโมงละเท่าไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเหยื่อคาราโอเกะมหาโหดให้การพนักงานสอบสวน สน.ประ ชาชื่น พร้อมชี้รูปกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แย่งเงินและโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย จึงเดินทางเข้าร้องเรียนกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคหรือ (สคบ.) เพื่อดำเนินการต่อไป
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานบริหาร ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานพิจารณาต่อใบอนุญาตสถานบริการต่างๆ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า สำหรับร้านเมโลดี้ ตนได้สั่งให้สน.ประชาชื่น ตรวจสอบแล้วรายงานขึ้นมาให้ทราบว่า ขออนุญาตเปิดเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.สถานบริการหรือไม่ เท่าที่รับรายงานจากงานบริการประชาชน กก.5 บก.อก.บช.น. ที่ดูแลเรื่องสถานบริการ ทราบว่าร้านดังกล่าวไม่ได้ขอเป็นสถานบริการตามพ.ร.บ. ร้านต่างๆ ที่เปิดโดยไม่ขออนุญาตในกทม.มีมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านคาราโอเกะริมถนน ปัญหาคือการก่อความเดือดร้อนรำคาญ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ปล่อยปละละเลย เพียงแต่การบังคับตามกฎ หมายสถานบริการใช้บังคับร้านเหล่านี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ละเลยใช้วิธีการปรามด้วยการตรวจสอบอื่นแทน เช่น กวดขันในเรื่องการจำหน่ายสุรา เวลาเปิดต้องไม่เกิน 24 นาฬิกา แต่ร้านลักษณะนี้เมื่อถูกดำเนินคดีวันนี้ พอวันพรุ่งนี้เขาก็เปิดได้ ไม่สามารถลงโทษหรือใช้มาตรการด้านปกครองได้ตามพ.ร.บ.สถานบริการ ที่มีกำหนดปิด 60 วันได้ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลดีกับผู้ประกอบการร้านลักษณะดังกล่าว
ด้านนายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผอ.ส่วนขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงกรณีที่ร้านคาราโอเกะคิดเงินค่าอาหารและค่าบริการเกินความเป็นจริงว่า ผู้เสียหายในกรณีดังกล่าว สามารถเข้ามาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับทางสคบ.ได้ ซึ่งเราพร้อมที่จะเยียวยาและให้การช่วยเหลือ ส่วนขั้นตอนการดำเนินการหลังจากนี้หากผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียน ทางสคบ.จะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเชิญผู้เสียหายและผู้ประกอบการร้านคาราโอเกะเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย ถ้าคู่กรณีไม่สามารถตกลงและยอมความกันได้ และทางสคบ.เห็นว่ากรณีดังกล่าว ที่ผู้ร้องเรียนยื่นเข้ามาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ทางสคบ.ก็จะยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อหาข้อยุติต่อไป
นายสุวิทย์ กล่าวต่อว่า หลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหามาตรการป้องกัน โดยอาจออกมาตรการให้ร้านอาหารหรือสถานบริการติดป้ายแสดงราคาอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งราคาค่าบริการของเด็กนั่งดริงก์ให้ชัดเจน เพื่อความเป็นธรรมกับผู้บริโภค และไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำรอยขึ้นอีก
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ล่าสุด สน.ประชาชื่นได้ดำเนินคดีกับร้านเมโลดี้คาราโอเกะแล้ว 2 ข้อหา คือ 1.กรรโชกทรัพย์ 2.เปิดสถานบริการโดยไม่มีใบอนุญาต
อีกรายเมื่อเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองของนักศึกษาสถาบันมีชื่อแห่งหนึ่งในจ.เชียงใหม่ ระบุว่า ลูกชายชื่อ นายหนึ่ง (นามสมมติ) อายุ 22 ปี ได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงชื่อร้านวีคลับคาราโอเกะ ตั้งอยู่ ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมกับผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน พอเช็กบิลพบว่าเป็นเงินกว่า 2 หมื่นบาท ทางผู้ใหญ่ดังกล่าวเห็นว่าแพงผิดปกติ แต่ก็ยอมจ่ายไป โดยหญิงบริการคนหนึ่งชื่อหวาน ขอนามบัตรกับลูกชายตนไว้ ต่อมาหญิงชื่อหวาน โทร.ชวนลูกชายให้ไปเที่ยววีคลับคาราโอเกะอีก พอบอกว่าไม่มีเงิน และติดทำกิจ กรรมอยู่ น.ส.หวานก็ขับรถมาหาลูกตนลากให้ไปเที่ยวด้วยกัน พอไปถึงก็ให้เป็นเมมเบอร์ของคลับ ได้เหล้านอก 4 ขวด ขวดละ 5,000 บาท ลูกตนบอกว่าไม่มีปัญญาจ่าย น.ส.หวานก็บอกว่าไม่เป็นไร ให้ไปตามผู้ใหญ่มาเคลียร์เงินให้ก็ได้ จากนั้นก็มีสาวๆ เข้ามาล้อมสั่งกับแกล้มและน้ำส้ม จากเที่ยงคืนถึงตี 4 ครึ่ง เช็กบิลออกมาเป็นเงิน 26,000 บาท ซึ่งน.ส.หวานรับรองหนี้ไว้ให้ก่อน
ผู้ปกครองนักศึกษากล่าวต่อว่า หลังจากนั้น น.ส.หวานก็โทร.มาทวงหนี้ที่ลูกชาย แล้วก็ โทร.มาทวงกับตนด้วย ต่อมาได้ให้คนคุมสถานบันเทิงชื่อ นายสืบ โทร.มาข่มขู่ต่างๆ นานา ตนก็บอกให้มาเจรจากันกันที่สภ.เมืองเชียงใหม่ แต่นายสืบไม่ยอม ให้ไปคุยที่ร้านแทน แล้วบอกว่าทำลายบิลไปแล้วด้วย ตนจึงปรึกษากับพ.ต.อ. ภาณุเดช บุญเรือง รองผบก.เชียงใหม่ ซึ่งแนะ นำว่าเคลียร์กันได้ถ้ามีหลักฐาน หรือไม่ก็ทำเฉยไว้ แต่ทางร้านก็โทร.มาข่มขู่ตลอด บอกว่าถ้าไม่ใช้หนี้ก็ไม่รับรองความปลอดภัยของลูกคุณ แถมด่าลูกตนว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย เกาะผู้หญิงกิน
พ่อเหยื่อคาราโอเกะกล่าวว่า สถานบันเทิงแบบนี้ในเชียงใหม่มีอยู่ 5 แห่ง เจ้าของเป็นนายทุนจากกทม. พฤติกรรมจะส่งหญิงไปตามร้านอาหาร สวนอาหารต่างๆ ในช่วงหัวค่ำ เพื่อแจกนามบัตรและชักชวนให้ไปเที่ยวหลังเที่ยงคืน พร้อมขอเบอร์โทร.เหยื่อไว้ด้วย พอใครหลงกลเข้าไปก็โดนคิดค่าบริการ ใครไม่มีเงินจ่ายก็จะถูกแจ้งตำรวจกล่าวหาว่าฉ้อโกงค่าอาหาร แล้วให้ตำรวจช่วยบีบเพื่อผ่อนจ่ายหรือริบทรัพย์สิน เชื่อว่ามีตำรวจท้องที่ร่วมมือหรือรู้เห็นด้วย