สตาร์ตเครื่องด่ากับ “River Art Hotel” โรงแรมที่ยืนยันว่า “ทุกอย่างคือการเมือง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ประเด็นทางการเมืองถูกหยิบยกมาพูดเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กล้าออกมาแสดงจุดยืนและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองอย่างร้อนแรง เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ไวรัสและมาตรการรับมือของรัฐบาล และหนึ่งในนั้นคือ “โรงแรม River Art Hotel Chaing Mai” ที่ทุกโพสต์เกี่ยวกับการเมืองบนโซเชียลมีเดียของโรงแรมสร้าง “ความสะใจ” ให้กับประชาชนคนทั่วไป ด้วยลีลาการด่าที่เผ็ดร้อนจนคนฟังต้องซู้ดปาก ในขณะที่ผู้ประกอบการหลายคนเลือกที่จะปิดปากเงียบเพื่อรักษาฐานลูกค้า แต่ทำไมโรงแรมเล็ก ๆ แห่งนี้จึงกล้าที่จะออกมาวิจารณ์รัฐบาล Sanook คุยกับเจ้าของโรงแรม ผู้ยืนยันจะพูดเรื่องการเมืองไปเรื่อย ๆ จนกว่าสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
เพราะเราคือเพื่อนกัน
ข่าวการถูกยกเลิกสัญญาแบบฟ้าผ่าของคุณสิริลภัส กองตระการ หรือ “หมิว” นักแสดง-พิธีกรจากช่อง 7 เนื่องจากใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมในโซเชียลมีเดีย กลายเป็นประเด็นร้อนสนั่นโลกออนไลน์และสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจำนวนมาก ท่ามกลางข้อความให้กำลังใจดาราสาว เฟซบุ๊กแฟนเพจ River Art Hotel Chiang Mai ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อดังในเชียงใหม่ ก็ออกมาเคลื่อนไหวและฝากข้อความถึงคุณหมิวให้มาพักที่โรงแรมฟรีตลอดชีวิต
“เราบอกตรง ๆ ว่าเราเป็นคนตามการเมือง เรารู้ว่าแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นน้อง ๆ ที่ออกมาหรือหลายคนที่โดนผลกระทบจากการออกมาพูด โดนไล่ออก โดนนั่นโดนนี่ ผมก็คิดว่าถ้าเราไม่ซัพพอร์ตกันเอง เราไม่จับมือกัน สักวันมันก็ต้องมาโดนคุณอยู่ดี เพราะฉะนั้นเราต้องจับมือกัน เราคือเพื่อนกัน เราคือประชาชนคนไทยเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ เพราะในเมื่อคุณออกมาพูดเพื่อพวกผมแล้ว ผมก็ออกมาทำบางสิ่งบางอย่างเท่าที่ทำได้ เท่าที่ในมือของผมมี” คุณตี๋ เจ้าของโรงแรม River Art Hotel เล่า
การประกาศตัวสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ส่งผลให้เพจของโรงแรมโดน “ทัวร์ลง” จากกลุ่มผู้เห็นต่างและคนเชียร์รัฐบาลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบและ “ดิสเครดิต” โรงแรมอยู่เนือง ๆ แม้สถานการณ์ลักษณะนี้จะไม่ดีกับผู้ประกอบการเท่าไรนัก แต่คุณตี๋ก็ย้ำชัดว่าเขาไม่กลัว เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเขาคือคนที่เข้าใจเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก
“อาร์ตโฮเทลคืออะไร มันคือศิลปะในการคิด การพูด และเสรีภาพในการแสดงออก นี่คือหลักการของโรงแรมนี้ ซึ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายของผมเป็นคนที่ชอบเสรีภาพและการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง การอยู่ หรือการวาดภาพ ผมจึงมองว่าถึงแม้จะมีคนที่ไม่ชอบ แต่คนที่ชอบก็ยังมาได้ ธุรกิจไม่สามารถจับปลาทุกมือได้ อย่างน้อยต้องมีกลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายของผมคือคนที่ฉลาด คนที่มีหัวคิด” คุณตี๋กล่าว
ภาคธุรกิจต้องยุ่งการเมือง
“เราผ่านการรัฐประหารมาหลายครั้ง มันทำให้หลายคนได้รับผลกระทบ เพราะการทำรัฐประหารไม่ได้เป็นการช่วยเหลือเศรษฐกิจหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริง การแก้ไขปัญหาที่แท้จริง คือการอยู่ร่วมกันอย่างสันติวิธี และทำให้เศรษฐกิจของเราไปได้ ขอพูดคำนี้แล้วกัน ทหารไม่ได้มีหน้าที่บริหารบ้านเมือง คุณไปปกป้องชายแดนซะ อย่ามาเสือกเรื่องบริหารประเทศ” คุณตี๋เล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจการเมือง
การทำรัฐประหารปี 2549 ทำให้เขาเริ่มออกมาพูดเรื่องการเมือง เพราะธุรกิจของเขาได้รับผลกระทบ แม้จะมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นว่าภาคธุรกิจไม่ควร “แสดงจุดยืนทางการเมือง” แต่คุณตี๋ก็แย้งว่าภาคธุรกิจของไทยออกมาพูดเรื่องการเมืองอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลอง Pride Month หรือการเกาะกระแส Black Lives Matter เป็นต้น
“ทุกอย่างมันติดอยู่กับการเมือง ทำไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อคุณสามารถพูดเรื่องการเมืองในเรื่องความเท่าเทียมในองค์กรคุณได้ คุณสามารถพูดเรื่องเรามา save นู้นนี่กัน แต่พอถึงเรื่องที่เป็นของตัวเอง ทำไมเราไม่ออกมาพูดกับประเทศของเรา ทำไมเราไม่สามารถออกมา save ประเทศตัวเองได้ นั่นคือเหตุผลที่ผมออกมา และถ้าคนไทยไม่สามารถเปิดปากออกมาได้ เพราะกลัวผลกระทบการเมือง ผมคิดว่ามันคือความเห็นแก่ตัวขององค์กรธุรกิจนั้น ๆ ตอนนี้ทัศนคตินั้นต้องเปลี่ยนได้แล้ว ทุกคนมีพลังเสียง”
โควิด-19 กระทบทุกคน
ขณะที่การเมืองไทยกำลังร้อนแรง สภาพเศรษฐกิจถดถอย การเกิดขึ้นของโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ก็ซ้ำเติมภาคธุรกิจของไทยหนักกว่าเดิม ซึ่งโรงแรมของคุณตี๋ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เขาเล่าว่า ราคาค่าห้องของเขาต้องปรับลดจาก 3,500 - 4,000 บาท เป็น 1,500 - 2,000 บาท ในช่วงการล็อกดาวน์ครั้งแรก และกลายเป็น 1,000 บาท ในช่วงการล็อกดาวน์ครั้งล่าสุด เขายอมรับว่าลูกค้าหายไปแทบจะ 100% เหลือเพียงลูกค้าประจำเท่านั้นที่กลับมาพักที่โรงแรมของเขาอยู่
“จริง ๆ ต้องบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดทุกอย่าง เช่น มาตรการคนละครึ่ง อันนี้ผมต้องยอมรับว่า ถึงจะไม่ชอบรัฐบาล แต่มันก็ทำให้เรายังดำเนินการต่อได้ ส่วนดีมีครับ แต่ส่วนเสียมีเยอะกว่า”
เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ก็ย่ำแย่และเหตุบ้านการเมืองก็ร้อนระอุ จึงทำให้คุณตี๋ไม่รีรอที่จะออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐอย่างแสบร้อนบนโลกออนไลน์
“ตอนนี้กระทบทุกคนหมดแล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดหรือไม่พูด ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเหลืองหรือฝั่งแดง หรือฝั่งสลิ่ม คุณจะปล่อยให้มันกระทบ แล้วเราจะไม่พูดต่อไปแบบนี้เหรอ ในเมื่อทุกคนได้รับผลกระทบแล้ว จะพูดไม่พูดก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี ตอนนี้ได้รับผลกระทบมากกว่าเดิม ดังนั้น คุณพูดก็ตาย ไม่พูดก็ตาย อย่างน้อยผมขอพูดก่อนตาย” คุณตี๋กล่าวเสียงหนักแน่น “ถ้าประเทศนี้เป็นระบอบประชาธิปไตย ผมก็ยังมีสิทธิ์พูดอยู่ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณเป็นเผด็จการ ปิดปากคนพูด ปิดปากสื่อทุกอย่าง ผมจะหยุดพูดวันนั้นทันที”
แม้สถานการณ์โควิด-19 ของไทยกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ทุกคนล้วนใฝ่ฝันถึงวันที่ประเทศไทยกลับขึ้นมายืนได้อย่างแข็งแกร่งและสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ คุณตี๋แสดงความคิดเห็นว่า คนในประเทศต้องได้รับ “วัคซีน” ที่มีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น คนไทยบางกลุ่มต้องรู้จักเปิดใจและเลิกเชียร์รัฐบาลที่ทำงานล้มเหลวในสถานการณ์โรคระบาดนี้ได้แล้ว
“ส่วนรัฐบาล ผมขอฝากนิดหนึ่ง อย่างเดียวที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้คือวัคซีนเท่านั้น ไม่ใช่มีคนเอาชุดข้อมูลมาพูดกับคุณ แล้วคุณยังแถไปว่าชุดข้อมูลที่คุณมียังสามารถช่วยประเทศได้อยู่ และเป็นวัคซีนชนิดเดียว โลกปัจจุบันเป็นโลกสารสนเทศแล้ว เพราะฉะนั้น คุณฟังประชาชนด้านนอกบ้าง อย่าอีโก้สูงมากเกินไป เพราะประชาชนก็อยากอยู่ร่วมกับรัฐบาล ไม่มีใครอยากเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ ไม่มีใครอยากอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล มันอึดอัดและอันตราย ผมจึงขอบอกรัฐบาลว่าอย่าเห็นประชาชนเป็นศัตรู” คุณตี๋กล่าวทิ้งท้าย
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ