ยายวัย 68 สงสัยติดโควิด ปอดเป็นฝ้า รพ.ไม่ตรวจหาเชื้อให้ สุดท้ายกลับมาสิ้นใจคาบ้าน

ยายวัย 68 สงสัยติดโควิด ปอดเป็นฝ้า รพ.ไม่ตรวจหาเชื้อให้ สุดท้ายกลับมาสิ้นใจคาบ้าน

ยายวัย 68 สงสัยติดโควิด ปอดเป็นฝ้า รพ.ไม่ตรวจหาเชื้อให้ สุดท้ายกลับมาสิ้นใจคาบ้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยายวัย 68 สงสัยติดโควิด ปอดเป็นฝ้า หายใจเองไม่ได้ แต่ทาง รพ.ไม่ตรวจหาเชื้อให้อ้างไม่มีเตียงรักษาแล้ว สุดท้ายลูกต้องพากลับมาบ้านและเสียชีวิต

(12 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ อปพร.เขตบางบอน เปิดเผยว่า ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือเข้ามาตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 11 ก.ค. ประสานมาว่าคนไข้นางขวัญใจ อายุ 68 ปี มึนศีรษะ ลื่นล้ม ญาตินำส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ผลเอกซเรย์ฝ้าขึ้นปอด เหนื่อยหอบ เจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะติดเชื้อโควิด แต่โรงพยาบาลไม่ตรวจโควิด บอกเตียงเต็ม

จากนั้นทางโรงพยาบาลให้รถพยาบาลเอกชน เป็นรถแอมบูแลนซ์ มารับคนไข้ออกไปจากโรงพยาบาล รถพยาบาลเอกชนได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ได้แต่ไปจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ก็ไม่รับตรวจเช่นกัน บอกว่าเตียงเต็ม สุดท้ายญาติจึงต้องนำผู้ป่วยรายนี้กลับมารักษาที่บ้านเหมือนเดิม ในซอยเอกชัย 76 ย่านบางบอน กรุงเทพฯ แต่ผู้ป่วยหายใจติดขัด อาการไม่ค่อยดี ช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ค. ญาติจึงร้องขอให้ทีมช่วยเหลือของ อปพร.เขตบางบอน ช่วยนำเครื่องออกซิเจนเข้าไปช่วยเหลือที่บ้าน ทีมช่วยเหลือจึงเข้าไปดูและก็นำเครื่องออกซิเจนไปให้ ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้น

กระทั่งเช้าวันที่ 12 ก.ค. ญาติแจ้งกลับเข้ามาว่า ผู้ป่วยอาการแย่แล้วให้รีบเข้ามาช่วยด้วย เมื่อทีมช่วยเหลือไปถึง ผู้ป่วยได้เสียชีวิตก่อนที่ทีมเราจะเข้าไป ทุกคนพยายามช่วยเหลือกันเต็มที่แล้วจริงๆ  

โดยลูกสาวเผยว่า พ่อของตนไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน คาดว่าอาจรับเชื้อมาจากเพื่อนอีกคน ซึ่งเมื่อวันที่ 5 ก.ค.เพื่อนคนนี้มาเที่ยวและนั่งคุยกับคุณพ่อที่บ้านนานหลายชั่วโมง ทั้งคู่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ทีแรกไม่มีใครรู้ มาทราบภายหลังว่าเพื่อนของพ่อคนนี้ติดโควิดเสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 ก.ค. และเผาในวันเดียวกัน คาดว่าเพื่อนของพ่อคงติดเชื้อมาก่อนหน้านั้นแล้วเอาเชื้อมาแพร่กระจาย 

หลังจากทราบผลว่าพ่อติดเชื้อโควิด ตนรีบโทรแจ้งให้ทางบ้านทราบ เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการของคนในครอบครัว ส่วนคุณแม่วัย 68 ปี เสี่ยงสูงอาจได้รับเชื้อด้วย เพราะมีอาการไอ เหนื่อยหอบ ช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค. แม่มีอาการเวียนศีรษะ ล้ม จึงพาแม่ขึ้นรถไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

ตนแจ้งกับโรงพยาบาลว่าคุณแม่มีประวัติเป็นความดัน แต่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะกลัวโรงพยาบาลไม่รับรักษา จากนั้นโรงพยาบาลทำการเอกซเรย์ปอด พบว่าปอดของคุณแม่ขึ้นฝ้า หมอแจ้งญาติว่า “น่าจะเป็นโควิดนะ” แต่ไม่ได้ SWAB ตรวจหาเชื้อ โรงพยาบาลบอกว่าคุณแม่หายใจเองไม่ได้ ต้องใส่สายออกซิเจน และให้ญาติพยายามหาโรงพยาบาลอื่น ทีแรกดูเหมือนจะมีเตียงรองรับ โรงพยาบาลถามว่ายอมเสียค่ารักษามั้ย คืนละ 100,000 บาท เพราะต้องเข้าไอซียู ตนจึงปรึกษากับญาติพี่น้องและตกลงเพื่อที่จะให้คุณแม่รักษาอยู่โรงพยาบาลนี้ วางมัดจำ 50,000 บาท จากนั้นโรงพยาบาลเดินกลับมาบอกว่า “เตียงเต็ม ให้ไปหาโรงพยาบาลที่อื่นที่รับรักษา”

ลูกสาวผู้เสียชีวิต กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่แนะนำให้ตนพาคนไข้วอล์กอินเข้าไป แล้วแจ้งเขาว่ามีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ต้องบอกว่ามีอาการคล้ายติดโควิดหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผลเอกซเรย์ปอดมาให้เป็นไฟล์แผ่นซีดีเราไม่สามารถเปิดดูได้ ระหว่างที่ตนเองพยายามติดต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาถามว่าได้หรือยัง จากนั้นตนแจ้งกลับโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า จะพาคุณแม่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ที่เดียวกับที่คุณพ่อรักษาโควิด โรงพยาบาลแห่งแรกก็เดินมาบอกจะหารถแอมบูแลนซ์ให้ซึ่งเป็นรถเอกชน บนรถมีถังออกซิเจน

พอไปถึงโรงบาลเอกชนแห่งที่สอง ก็ไปจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาล ตนแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าคุณพ่อมาตรวจที่นี่พบติดเชื้อโควิด คุณแม่น่าจะได้รับเชื้อด้วยเพราะสัมผัสใกล้ชิดกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตอบกลับว่า “ไม่มีเตียงรองรับ เตียงเต็มแล้วโรงพยาบาลในเครือก็ไม่มีเตียง รับไว้ไม่ได้”

ส่วนคุณแม่ใส่สายออกซิเจนนอนรออยู่บนรถแอมบูแลนซ์ ออกซิเจนในถังใกล้หมด ไม่รู้จะทำยังไง ตนจึงตัดสินใจพาคุณแม่กลับบ้านตามเดิม แยกคุณแม่ไปนอนที่ห้องพักชั้น 2 ของอพาร์ทเมนท์ที่ตนเองปล่อยเช่า โดยเป็นห้องเปล่ายังไม่มีคนเช่า ห้องอยู่ด้านในสุด ไม่ให้คุณแม่ไปนอนในบ้านเกรงว่าหากติดโควิดจะนำเชื้อไปแพร่กระจายสู่ลูกหลานทั้งหมด 8 คน (เด็ก 4 ผู้ใหญ่ 4) อายุน้อยสุดคือเด็กวัย 3 เดือน ลูกของตน ทุกคนต้องกักตัว ยังไม่ได้ไปตรวจหาเชื้อ ยกเว้นตนกับสามีผลออกมาเป็นลบ แต่ต้องไปตรวจซ้ำ เป็นห่วงลูกวัย 3 เดือน เสี่ยงมากที่สุด เพราะคุณพ่อคุณแม่ช่วยเลี้ยงอยู่ด้วยกันทุกวัน

และขอความช่วยเหลือจาก อปพร.เขตบางบอน เจ้าหน้าที่อาสาได้นำถังออกซิเจนมาให้ 1 ถัง ประมาณ 2 ทุ่ม (11 ก.ค.) ออกซิเจนใกล้หมดเขาก็มาเปลี่ยนให้ วัดค่าออกออกซิเจนปลายนิ้ว 60-75 ขณะนั้นคุณแม่ยังมีสติพูดคุยได้ปกติแม่ต้องการไปตรวจหาเชื้อให้มั่นใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ บอกกับตนให้พาไปเข้าคิวจุดบริการตรวจเชิงรุก แต่มันไปไม่ไหว เจ้าหน้าที่อาสาช่วย SWAB ให้ เพื่อตรวจหาเชื้อ เพราะถ้าติดเชื้อจะได้ส่งตัวรักษาและนำผลไปยืนยัน

ตอนอยู่โรงพยาบาลตนก็พยายามอ้อนวอนให้เจ้าหน้าที่ช่วย SWAB ตรวจหาเชื้อให้กับคุณแม่ เพื่อต้องการทราบผลตรวจ หากคุณแม่ติดเชื้อจะได้ประสานหาเตียงนำไปรักษา แต่ไม่มีโรงพยาบาลไหน SWAB เหตุผลว่าคุณแม่อายุเยอะไม่มีผลตรวจ ตนจะไปหาเตียงที่ไหนก็ไม่ได้ ตนประสานกับคนที่รู้จักซึ่งทำฮอสพิเทลเป็น รพ.สนาม เขาขอผลตรวจมายืนยันถึงจะจัดหาเตียงได้ จนกระทั่งคุณแม่สิ้นใจก็ยังไม่ทราบว่าติดเชื้อโควิดหรือไม่ แต่อาการมันบ่งบอกว่าคุณแม่น่าจะติดเชื้อ

ลูกสาวของผู้เสียชีวิต ระบุต่อว่า เช้าวันที่ 12 ก.ค.ก่อนที่คุณแม่จะสิ้นใจ วัดค่าออกซิเจนปลายนิ้วเริ่มต่ำอยู่ที่ 53 และเริ่มต่ำลงเหลือ 47 ประมาณ 08.00 น. ตนโทรไป 1669 เจ้าหน้าที่ก็สอบถามแต่อาการ คงถามเรื่องบัตรทอง เคยรักษาที่ไหน ตนบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าคนไข้วิกฤตไม่ไหวแล้วออกซิเจนต่ำมาก เจ้าหน้าที่ตอบกลับต้องตรวจสอบสิทธิ์การรักษาก่อนไม่สามารถมารับตัวกะทันหันได้ ทั้ง ๆ ที่ตนบอกแม่ไม่ไหวแล้ว

จากนั้นประมาณ 09.00 น.เจ้าหน้าที่ 1669 โทรกลับมาแจ้งว่าโรงพยาบาลที่คุณแม่เคยไปรักษาเตียงว่าง แต่ทางโรงพยาบาลไม่มีรถมารับ ต้องจัดหารถไปส่งเอง หลังจากวางสายไปอาการของคุณแม่เริ่มไม่ไหวก่อนจะเสียชีวิตลง ก่อนจะสิ้นใจคุณแม่หายใจเองไม่ได้

ศพคุณแม่อยู่ในห้อง ยังใส่สายออกซิเจน เครื่องออกซิเจนยังทำงานอยู่เลย ไม่มีใครกล้าเข้าไปถอด กว่าเจ้าหน้าที่จะมาชันสูตรศพและเก็บร่างไปเผาที่วัดกำแพง เขตบางขุนเทียน ก็ 4 โมงเย็น แล้ว ส่วนที่อพาร์ทเมนท์ยังไม่ได้ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ นี้มีผู้พักอาศัยประมาณ 6 ห้อง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook