"เปิ้ล หัทยา" เปิดชีวิตวันนี้ รับหน้าที่เสาหลักครอบครัว หลังสูญเสีย "ตั้ว ศรัญยู"

"เปิ้ล หัทยา" เปิดชีวิตวันนี้ รับหน้าที่เสาหลักครอบครัว หลังสูญเสีย "ตั้ว ศรัญยู"

"เปิ้ล หัทยา" เปิดชีวิตวันนี้ รับหน้าที่เสาหลักครอบครัว หลังสูญเสีย "ตั้ว ศรัญยู"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นอกจากจะเป็นซุปเปอร์มัมแล้ว เปิ้ล-หัทยา วงศ์กระจ่าง ยังนับว่าเป็นสาวแกร่งแห่งปีอีกด้วยเพราะนอกจากจะนั่งแท่นเป็นเสาหลักของครอบครัวดูแลลูกสองทั้งสองคน น้องหนุน น้องหนัง แล้วเธอคนนี้ยังต้องบริหารดูแลลูกค้าในบริษัทอีกนับไม่ถ้วน

ล่าสุดคุณแม่คนเก่งได้มาเปิดใจในรายการ ต้มยำอมรินทร์ คุณแม่สุดแกร่ง ก็ได้เล่าให้ฟังว่าถึงเรื่องการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ต้องเสียคนที่รักที่สุดไป และต้องรับมือกับสถานการณ์โควิดที่กำลังวิกฤตอยู่ ณ ตอนนี้ พร้อมทั้งยังเผยอีกบทบาทที่เพิ่งเกิดมาเร็วๆนี้คือ การเป็นยูทูปเบอร์เปิด YouTube ของตัวเองสานต่อไอเดียจากสามีสุดที่รัก ตั้ว ศรัญยู

ต้องปรับตัวยังไงบ้างจาก โควิด ที่เกิดขึ้น?

"เราก็คือ ปรับตัวตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วก็ต้องปรับตัวและต้องสู้กันต่อไป ถามว่าปรับอะไรเราต้องปรับทุกอย่างเลยค่ะ เพราะว่าเราเป็นผู้ที่ต้องดูแลคนหลายคนลูกน้องบริษัทเราก็ต้องแบกเอาไว้ทุกอย่าง คือ อย่างคลื่นวิทยุที่เราทำคือรายการสดใช่ไหมค่ะ เราก็ต้องติดต่อประสานกับลูกค้ามีกิจกรรมที่วางเอาไว้พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องเลื่อนๆขยับไปจนหมดเลยค่ะ เรียกว่าเจอแรงกระทบแบบเต็มๆเราก็ต้องคุยกับน้องๆพนักงาน คือ ลดเงินเดือนน้องๆแล้วก็คุยให้เขาเข้าใจซึ่งน้องๆในบริษัทก็เข้าใจแล้วเราก็แบ่งว่าเราจะเข้ามาทำงานอะไรยังไงกัน เพราะว่างานก็น้อยลงเพราะอีเว้นท์ และ คอนเสิร์ตก็จัดไม่ได้ทุกอย่างคือเลื่อนออกไปหมดเลย แต่ก็ยังสู้กันอยู่ค่ะ"

แต่ตอนนี้เปิ้ล ก็มีงานอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือการเป็นยูทูปเบอร์

"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คือ เชื่อไหมว่าลูกขำเลยที่เรามาทำตรงนี้แล้วเขาก็แซวว่าอายุจะเลขหกอยู่แล้ว ทำไมแม่ยังมาทำยูทูป แต่จริงๆเป็นอะไรที่ใครๆก็ทำได้มันเป็นชื่อรายการชื่อว่า หัทยา วง จริงเรื่องนี้คือ ทำก่อนที่ พี่ตั้ว จะไม่สบายเขาบอกเราว่าเราต้องทำอย่างอื่นด้วยเพราะเราเป็นคนสะสมกางเกงยีนส์ก็เยอะ เสื้อยืด ผ้าพันคอ เนกไท หมวก แว่นตา พี่ตั้ว เขาก็เคยบอกเราว่าเราสะสมของเยอะแบบนี้เราน่าจะไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์สิ คือ เป็นไอเดียวจากพี่ตั้ว เลยค่ะ เราก็มานั่งคิดว่าเราจะทำยูทูปเกี่ยวกับอะไรดีเพราะเราก็อยู่ในวงการบันเทิง วงการกีฬาเพราะเราชอบกีฬา แล้วก็เลยไปคุยกับเพื่อนๆ ก็เลยได้ชื่อ หัทยา วง มาก็จะทำตั้งแต่ต้นๆ ปีที่แล้วก็ยังไม่ได้ทำเพราะว่า พี่ตั้ว ไม่สบายค่อนข้างจะหนัก เราก็เลยพักโปรเจคไว้ก่อน (ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้บอกใครเลยว่า พี่ตั้ว ป่วย จริงๆ มีคนเพื่อนๆ ทราบอยู่ ก็มาเยี่ยมกันอะไรกัน แล้ว พาตั้ว ก็ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วครั้งหนึ่งออกมาทำงานแล้วด้วยนะคะ แต่ก็มาทรุดอีกช่วงหนึ่งคือ กุมภาพันธ์ มีนาคม เพราะคุณหมอบอกว่าไวรัสตับอักเสบบี ที่พี่ตั้ว เป็นอยู่มันกลายพันธ์นะ) เราก็ทำใจแล้ว พี่ตั้ว เขาก็บอกว่าเราก็รักษาของเราไปไม่ต้องไปบอกคนอื่นหรอกเพราะว่าโควิดที่เข้ามาก็ทำให้เขาไม่สบายใจกันแล้ว"

 แล้วกลับมาเริ่มต้นทำ YouTube เมื่อไหร่

"หลังจากงานพี่ตั้ว เสร็จเรียบร้อยเราก็พักไปนานมากพักไปจริงๆจนเรามามองตัวเองว่าเราจะเป็นแบบนี้เหรอ ตอนนั้นคือ เหยี่ยวเฉา และ โทรมมากทุกคนก็จะแบบห่วงเราให้เรากินเยอะๆ หน่อย"

ตอนนั้นที่หยุดพักไปเพราะ พี่ตั้ว ป่วยแต่ ณ ตอนนี้ ช่อง หัทยา วง YouTube มาถึง EP. ที่ 20 กว่าแล้วแต่ว่า EP. ที่พีคที่สุด คือ EP.0 ?

"หลังจากที่เราห่อเหี่ยวอยู่เราก็รู้สึกว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำงาน ก็เริ่มต้นจาก YouTube เราก็คุยกันว่าเริ่มต้นที่ EP.0 ความทรงจำไม่เคยสูญหาย ซึ่งเราก็พูดถึงว่าการที่เรามาทำ YouTube ก็เพราะพี่ตั้ว พูดถึงเรื่องราว และ ความทรงจำทั้งหมดถึง พี่ตั้ว ว่ามันจะไม่มีวันสูญหายไปเลย"

จริงๆ คอนเซ็ปต์ของการทำรายการ หัทยา วง คือ อะไร

"ของเราคือ วงจรชีวิตของเราที่เราไปพบเจอมาก อย่างในวงการบันเทิง วงการดนตรีเราก็จะพาไปดูคอนเสิร์ต ดูเบื้องหลังในการทำคอนเสิร์ตว่าเป็นอย่างไร มีวงการความสวยความงาม วงการกีฬา ก็ค่อนข้างจะวาไรตี้แต่ทุกอย่างมันคือ วงจรชีวิตของเราค่ะ ซึ่งตอนแรกเราคิดจะทำแค่ 10 EP. เองนะคะเพราะว่าเราคิดว่าเราจะไปทางไหนได้บ้างแล้วทำไปแล้วจะซ้ำไปซ้ำมาหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราได้เจอลูกค้าแล้วลูกค้าเขาก็ให้โจทย์เรามาเราก็คิดงานให้ลูกค้าแล้วพอเราทำมาเรื่อยๆทำให้เรารู้สึกว่าเรามีมุมมองที่กว้างขึ้น"

อีกอย่างที่เราเป็น คือ เป็นเจ้าแม่แฟชั่นมากๆ?

"เป็นคนที่ชอบแต่งตัวเพราะเรารู้สึกว่าเราสนุก แล้วก็แต่งตัวให้เกียรติกับสถานที่ อย่างเราจะไปเจอลูกค้าเราก็เรียบร้อยหน่อย  หรือถ้าเราไปงานที่มันสามารถสนุกได้เราก็แต่งตัวให้สนุกเต็มที่ ถ้าแม้ในใจของเราจะมีความเศร้าอยู่แต่เราก็ต้องมองไปข้างหน้า ซึ่งการแต่งตัวทำให้เรามีชีวิตชีวา และสนุกกับการดำเนินชีวิต เพราะว่าตอนเด็กเราอยากเรียนทางด้านการดีไซน์แฟชั่น แต่เพราะว่าคุณแม่ไม่ยอมเราก็เลยไม่ได้เรียนเป็นคนที่เชื่อฟังคุณแม่มากเลย (หัวเราะ)

ซึ่งคุณแม่อยากให้เราเรียนเศรษฐศาสตร์มากเพราะเขาอยากให้เราเรียนเกี่ยวกับด้านการเงิน เราก็เลยบอกแม่ว่าเรียนทางด้านไหนก็เหมือนกันเพราะยังไงเราทำงานเราก็จะได้เงินเหมือนกันก็เลยมาเรียนด้านกราฟิกดีไซน์ เราก็อธิบายให้คุณแม่ฟังว่าคอมพิวเตอร์เข้ามาเยอะแล้วเราเรียนทางนี้เราก็สามารถเอาไปพัฒนาทำอะไรได้อีก สำหรับการที่เราตัดสินในเรียน กราฟิกดีไซน์ เมื่อ 30 ปีที่แล้วมาถึงตอนนี้ พี่เปิ้ล ว่าได้ใช้นะ"

กลับมาถามเรื่อง ตั้ว ศรัณยู เมื่อเดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา ครบรอบ 1 ปีที่จากไป เห็นว่าให้น้องหนุน น้องหนัง ร้องเพลงให้?

"ตอนแรกที่เราคิดไว้ คือ จะทำบุญเลี้ยงพระ เชิญญาติทางฝั่งพี่ตั้ว พี่เปิ้ล มาร่วมทำบุญกันเราก็ไม่คิดว่าเราจะเจอโควิดระลอกที่สามพอเกิดโควิดก็ทำบุญเลยต้องเลิกไป เราก็เลยมามองว่าเรามาทำอะไรกันดี น้องหนุน ก็บอกว่าเราทำอะไรเงียบๆดีไหมคะคุณแม่ เราก็คิดกันว่าจะร้องเพลงที่ พี่ตั้ว เคยแต่งไว้ให้พี่เปิ้ล เมื่อ 27 ปีที่แล้ว เป็นเพลงมุมความรักแบบบวกๆ ขอบคุณที่ความรักทำให้เรามาเจอกัน ขอบคุณที่มีฟ้ามีดวงดาวทำให้เราได้เห็นความสว่างไสว เราก็ได้คุยกับน้องหนุน ด้วยความที่ดนตรีเมื่อ 27 ปีที่แล้วมันก็นานมากเลยต้องทำใหม่

ก็เลยยกหูโทรหา หนึ่ง จักรวาล แล้วก็ส่งเพลงให้หนึ่ง ฟัง แล้ววันรุ่งขึ้นหนึ่ง เขาก็โทรมาบอกว่า พี่เปิ้ล ครับผมเล่นเปียโนให้ใหม่ทั้งมหดเลยพี่ลองฟังดูนะครับ พอเรากับ น้องหนุน ได้ฟังคือ รู้สึกเซอร์ไพร์สมากๆเลยค่ะ เราก็เลยไปเข้าห้องอัดร้องเพลงกันเลย แล้วพอเราเห็นว่าไหนๆทำเป็นเรื่องเป็นราวพอสมควรแล้ว เราก็เลยมาปรึกษาลูกน้องพี่ตั้ว เอาภาพของพี่ตั้ว ที่ถ่ายมาเป็นพันๆม้วนเป็นภาพครอบครัวนะคะ ก็เอาภาพทั้งหมดมาผสมอยู่ในเพลงเป็นมิวสิควีดีโอแล้ว น้องหนุน เข้าก็เลยไปเปิด YouTube ของเขาเลยใช้ชื่อ Suparawongk ใครที่อยากฟังเพลง รักเธอ รักเธอคนเดียว ได้ใน YouTube ของน้องหนุน นะคะ"

จริงหรือเปล่าที่ตอนนี้เป็น เจ๊ดันแล้ว?

"ไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าดันก็ต้องดันนานแล้ว จริงๆแล้ว YouTube ของน้องหนุน ที่มีขึ้นเพราะว่าเขาเป็นคนชอบร้องเพลงแล้วพี่เปิ้ล ก็รู้สึกว่าเขาก็เป็นอิสระดีในช่องของเขาเองเขาอยากทำอะไรของเขาเองที่เขาอยากทำ เพราะเขาเรียนทางด้านมิวสิคเธียเตอร์เรียนแบบจริงจังเลยค่ะ แล้วช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เขาก็มีไปรับงานบ้างแต่เขาจะไม่ค่อยรับงานในวงการบันเทิงเพราะว่าเขาตั้งใจว่าเขาจะโฟกัสที่การเรียนให้ได้ดี ซึ่งตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว แพลนขอเขาก็คือ ตอนแรกพอเห็น น้องหนัง ไปเกาหลีใช่ไหมค่ะ เขาก็คุยกันว่าที่เกาหลีคนเขียนบทเก่งมากเลย หนุน มาเรียนที่นี่ไหม หนุน เขาก็คิดว่าก็ดีเนอะ แต่พอเขาเห็นว่า พี่ตั้ว เสียเขาก็เลยคิดว่าเขาอยู่เป็นเพื่อนเราดีกว่า

เขาก็เรียนออนไลน์บางอย่างที่เขาเรียนได้แล้วเขาก็ไปทางดนตรีส่วนมากตอนนี้คือ เขาอยากเขียนพลงเองได้ ทำดนตรีของเองได้ ถามว่าจะดันให้เขาเป็นนักร้องเลยไหม คือ เขาก็ชอบร้องเพลงนะคะ เสียงเขาก็ได้อยู่เพราะว่าเขาชอบร้องอยู่แล้วเพียงแต่ว่า หนุน อาจจะแตกต่างจาก หนัง เพราะหนัง จะกล้าแสดงออก แต่ หนุน จะขี้อายแต่พอเขาไปได้เรียนมากขึ้นได้ไปเจอกับหนึ่ง จักรวาล แล้วได้เข้าไปห้องอัดเขาก็จะรู้สึกว่าเขามั่นใจมากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้จะดันให้เขาเป็นนักร้องนะคะ เพราะว่าลูกของ พี่เปิ้ล ก็เป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน อะไรที่เชาคิดว่าไม่ใช่เขาก็จะมีเหตุผลมาให้เรา"

พูดถึงน้องหนุน แล้ว เรามาพูดถึงน้องหนังบ้าง เห็นว่าเป็นคนที่กล้าแสดงออก และมีความดื้อมากกว่า?

"ดื้อกว่าค่ะ ด้วยความที่น้องหนัง เป็นที่สูงยาวเพราะเขาสูง 174 ส่วนหนุน 167 แต่เขาเป็นฝาแฝดกันนะคะ เพียงแค่ไข่คนละใบ น้องหนัง ไปเรียนจิตวิทยาที่เกาหลี เพราะด้วยความที่ว่าเขาเคยทำงานในไทยมาก่อน คือ ทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นโชว์ แต่พอถึงช่วงที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยเขาเข้าไปแล้วที่ อักษรจุฬาฯ แต่เขาถูกคนมองว่าพี่ลูกของ พี่ตั้ว พี่เปี้ล เขาเลยคิดว่าเขาลองไปสมัครอยู่ที่ต่างประเทศดูดีกว่า คือ เรื่องมีอย่างนี้ค่ะ เมื่อตอนที่ น้องหนัง อายุ 16 แล้วคือไปแคสบทละครแล้วไม่ได้ แล้วคือ พี่ตั้ว มาทราบทีหลังเขาเลยโกรธมากโดนดุทั้งสามคนเลยว่าทำไมไปแคสแล้วไม่บอกเขา ต้องให้เกียรติเขานะ เพราะว่าเขามีทุกวันนี้ได้เพราะการที่เขาเป็นนักแสดง แล้วที่ไปแคสกันเพราะอะไรอยากดัง หรือว่าอะไรยังไง คือ ตอนนั้นคือแรงมากเลยค่ะ น้องหนัง เขาเลยคิดแบบนี้ว่าเขาไปอยู่ที่อื่นโดยที่ทุกคนไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเป็นลูกใครเขาน่าจะสบายใจดีกว่า

แต่พอเขาไปเรียนที่เกาหลีเขาก็ถูกชักชวนให้ไปถ่ายแบบเหมือนกันนะคะ เขาก็เลยบอก พี่ตั้ว ว่าเขาขอนะซึ่งครั้งนี้พี่ตั้ว เขาก็โอเคเขาก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้การเรียนเสีย แล้วพอ น้องหนัง เรียนรู้ปีสาม เขาก็ได้ไปแคสซีรีส์ก็แคสผ่าน แล้วเขาก็มาคุยกับพ่อว่าทางค่ายขอให้เขาหยุดเรียนเทอมนี้ได้ไหมเพราะว่าต้องเข้าไปเรียนทุกอย่างเลยแบบจริงจัง พี่ตั้ว ก็เลยให้ เราก็บินไปดูที่นั่นว่าเป็นยังไง แต่พอเขาเรียนไปได้หนึ่งปี พี่ตั้ว ก็ไม่สบายแต่ตอนแรกเราก็ไม่ได้บอกน้องเต็มที่ว่าเป็นอะไร แต่พอ น้องหนัง ได้กลับมาช่วงกุมภาพันธ์ แล้วก็อยู่ไทยยาวเลยปีกว่าจนกระทั่งเพิ่งกลับไปปลาย มีนาคม เราก่อนที่เราจะเจอโควิดระลอกที่สาม เขากลับไปเรียนต่อทางด้านการแสดง แล้วก็เรียนออนไลน์ไปด้วยเพราะเหลืออีกไม่กี่วิชาก็จบ"

หลังจากตั้วไม่อยู่ เราหนักแค่ไหนในเรื่องการดูแลครอบครัว?

"ก็หนักนะคะ ยอมรับว่าหนัก เพราะว่าลูกทั้งสองคนของเราเขาก็จะมุมมองหลายทางของเขา โดยเฉพาะ น้องหนัง เขาก็เผลอหลุดออกมาเหมือนกันแบบไม่ได้ตั้งใจว่า ถ้าพ่ออยู่หนูว่าคุยเรื่องนี้กับพ่อไม่นานก็จะได้คำตอบแล้วกับแม่ทำไมนานมากเลย เพราะ พี่เปิ้ล ก็จะแบบคิดก่อนว่าเราต้องทำอะไร พูดยังไงดี กับน้องหนุน ก็คือ แม่ช้าจังเลย ถ้าเป็นพ่อนะจะโอเคเลย บางทีมันก็หนักเหมือนกัน

แต่หนักที่สุดในตอนนี้ คือ เรื่องงาน กับ เงิน เพราะว่าเราก็ต้องมีวิธีการใช้ยังไงให้ดี ตรงไหนสำคัญ ตรงไหนไม่สำคัญ เพราะว่าเราต้องดูแลตอนนี้เราต้องดูแลวิทยุ และก็ละครที่พี่ตั้ว ยังทำค้างอยู่แล้วพอละครจบจะไปทางไหนต่อ ซึ่งทีมงาน พี่ตั้ว ที่ทำด้วยกันมาก็แข็งแรงประมาณหนึ่งเลยก็สามารถที่จะทำละครต่อยอดไปด้วยได้ เราเลยต้องมาคำนวณดีๆว่าเราจะไปในทิศทางไหน ส่วน YouTube ของพี่เปิ้ล ที่ทำคือ ค่อนข้างที่จะลอยตัวโอเคเลย"

รู้สึกยังไงบ้างกับคำที่ว่าเรา คือ ผู้หญิงแกร่งของวงการ?

"ยังมีคนที่แกร่งกว่าพี่เยอะคะเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่มาออกทีวี เวลาที่เราสัมผัสหรือจัดรายการที่เราคุยกับแฟนคลับบางคนเขาแกร่งกว่าเราเยอะมากแบบปากกัดตีนถีบเลย เราก็เลยคิดว่าเราต้องเดินหน้าต่อไปให้ไหวในระยะที่ต้องทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเราเอง แล้วคุณแม่ก็มาเสียไปด้วยแต่เราก็ต้องรับให้ได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่ พี่ตั้ว เสียไปคือ เราก็หันมาดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เพราะว่า พี่ตั้ว แค่ไม่ได้ไปตรวจร่างกายแค่สองปีเพราะว่าเขาทำงานหนักมาก เยอะมาก มันทำให้ไวรัสตับบีที่มีอยู่ในตัวเขากลายพันธ์ไปทำให้เรารักษาไม่ทัน ทำให้เรารู้สึกผิดที่ทำไมไม่ลากเขาไปตรวจเพราะเขาก็บอกเราตลอดว่าร่างกายแข็งแรงดี เพราะจากที่เราดูข้างนอกคือดูดีจริงๆพอหลังจากนั้นมา คือ พี่เปิ้ล ก็ตรวจร่างกายแบบทั้งหมด พอเราสูญเสียคนที่เรารักไปทำให้เรารู้สึกเลยว่าทุกอย่างอย่าไว้ใจ อย่าประมาทในทุกๆ นาทีของชีวิต"

สามารถรับชมสัมภาษณ์เต็มๆ ได้ในรายการ ต้มยำอมรินทร์ 

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ

อัลบั้มภาพ 23 ภาพ ของ "เปิ้ล หัทยา" เปิดชีวิตวันนี้ รับหน้าที่เสาหลักครอบครัว หลังสูญเสีย "ตั้ว ศรัญยู"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook