ก.เกษตร ส่งเสริมเกษตรกรปลูกฟ้าทะลายโจร แนะ 2 สายพันธุ์มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง
“มนัญญา” เดินหน้าขับเคลื่อนปลูกฟ้าทะลายโจรป้อนแพทย์แผนไทย กรมวิชาการเกษตรชง 2 สายพันธุ์มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้เตรียมขับเคลื่อนการปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อป้อนเป็นวัตถุดิบให้กับกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมแพทย์แผนไทยพัฒนาเป็นยาต้านไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ได้ให้กรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมสหกรณ์ทำโครงการส่งเสริมการปลูกฟ้าทะลายโจรในสถาบันเกษตรกร ซึ่งกรมวิชาการเกษตร จะสนับสนุนพันธุ์ที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูงให้กับสหกรณ์ที่ร่วมโครงการ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มและอนาคตอาจจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่
“โครงการนี้จะเริ่มทยอยปลูกตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไปถึงเดือนธันวาคม 2564 คาดจะได้ครบจำนวน 100 ไร่ในพื้นที่สหกรณ์ 5 แห่งและปี 65 จะเริ่มอีก 400 ไร่ใน 20 สหกรณ์ ซึ่งตลาดคือกรมแพทย์แผนไทย โดยจะคัดเลือกสหกรณ์ที่มีความพร้อมและพื้นที่เหมาะสม จากนั้นกรมวิชาการเกษตรจะเป็นพี่เลี้ยงแนะนำการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่กรมแพทย์แผนไทยต้องการ และอนาคตคาดหวังว่าสหกรณ์จะเป็นแหล่งผลิตสมุนไพรให้กับประเทศ”
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรได้วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ต้นฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีปริมาณสารสำคัญคือสารแอนโดรกราโฟไดล์ มากกว่าที่มาตรฐานยาสมุนไพรไทยกำหนดว่าควรมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 โดยน้ำหนักแห้ง แต่พบว่าสายพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรพัฒนาสำเร็จคือสายพันธุ์พิจิตร 4-4 มีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง 12.20 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม และสายพันธุ์พิษณุโลก 5-4 มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง 8.89 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม ดังนั้น กรมจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ในการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อป้อนให้กับกระทรวงสาธารณสุข สำหรับนำไปผลิตยาเพื่อต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ร่วมถึงการพัฒนาสมุนไทยยาไทยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคและอนาคตจะสามารถส่งเสริมการขยายตัวของวงการสมุนไพรไทยได้อีกทางหนึ่งตามนโยบายของนางสาวมนัญญา โดยกรมวิชาการเกษตรจะสนับสนุนพันธุ์และเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้ในโครงการนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรหรือประชาชนผู้สนใจต้องการปลูกฟ้าทะลายโจรและมีพันธุ์อยู่แล้วสามารถที่จะเข้าไปศึกษาการปลูกที่ถูกต้องได้ทางเว็บไซด์ของกรมวิชาการเกษตรเพื่อที่จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและไม่มีการปนเปื้อน โดยกรมจะจัดทำคู่มือการปลูกเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรได้นำไปใช้ประโยชน์ได้ประมาณสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้