กรมวิทย์ฯ เผยพบคนไทยแค่ 1 ใน 5 ล้าน เกล็ดเลือดต่ำหลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า
กรมวิทย์ฯ เผยพบคนไทย 1 ใน 5 ล้านคน มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำและหลอดเลือดอุดตัน หลังฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ยันแพทย์รักษาได้หากมาทันท่วงที
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากที่มีรายงานพบผู้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับหลอดเลือดอุดตัน หรือภาวะ VITT หลังการได้รับวัคซีนโควิด 19 ชนิด Viral vector vaccine เช่น AstraZeneca และ Johnson & Johnson ในต่างประเทศ อาจทำให้ประชาชนเป็นกังวล ไม่กล้าฉีดวัคซีนชนิดนี้
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขอให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนจนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 มีการฉีดวัคซีน AstraZeneca ในคนไทยไปแล้ว 5,360,745 โดส และมีผู้ป่วยยืนยันอาการ VITT ภายหลังการได้รับวัคซีน จำนวน 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 26 ปี มีโรคประจำตัว คือ ไมเกรน มีอาการปวดศีรษะมากขึ้นกว่าเดิม ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า มีค่าเกล็ดเลือดต่ำ ค่า D-dimer สูง แต่เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาแล้ว ก็มีอาการดีขึ้น
ทั้งนี้ ภาวะ VITT ในประเทศไทยพบในอัตรา 1 ต่อ 5,000,000 ในขณะที่ต่างประเทศพบในอัตราประมาณ 1 ต่อ 125,000 – 1 ต่อ 1,000,000 ซึ่งถือว่ามากกว่าประเทศไทย 5-40 เท่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca แล้วมีอาการบ่งชี้ว่าอาจมีหลอดเลือดอุดตัน เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ ปวดหลังรุนแรง ขาบวม เหนื่อยหอบ แน่นหน้าอก ตามัว เห็นภาพซ้อน หลังได้รับวัคซีนภายใน 30 วัน ให้รีบปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลทั่วประเทศ
โดยประเทศไทยมีห้องปฏิบัติการอย่างน้อย 78 แห่ง ที่มีความพร้อมในการตรวจ D-dimer หากแพทย์ พบว่า มีค่าเกล็ดเลือดต่ำ และ D-dimer สูง จะส่งตัวอย่างเลือด เพื่อยืนยันอีกครั้ง ตามแนวทางของสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย โดยทั้งหมดนี้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ