"แบงค์-ไอซ์" เปิดความลับตั้งใจท้องก่อนจัดงานแต่ง เล่าโมเมนต์ไม่กล้าไปบอก "พ่อค่อม"

"แบงค์-ไอซ์" เปิดความลับตั้งใจท้องก่อนจัดงานแต่ง เล่าโมเมนต์ไม่กล้าไปบอก "พ่อค่อม"

"แบงค์-ไอซ์" เปิดความลับตั้งใจท้องก่อนจัดงานแต่ง เล่าโมเมนต์ไม่กล้าไปบอก "พ่อค่อม"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แบงค์-ไอซ์ เปิดความลับตั้งใจท้องก่อนที่จะจัดงานแต่ง เพราะความตั้งใจพร้อมเผยหลังจากสูญเสียคุณพ่อทำให้รักที่จับมือกันแน่นมากขึ้นกว่าเดิม

จับมือกันแน่นเพื่อก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ต้องสูญเสียผู้อันเป็นที่รักยิ่งที่สุดในหัวใจไป สำหรับ ไอซ์ ณพัชรินทร์ และ แบงค์ อธิกิตติ์ ที่ได้มาเยือนรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เปิดใจหลังที่ต้องสูญเสีย พ่อค่อม ทำให้ได้ตัวเองทั้งคู่เรียนรู้บทเรียนของชีวิตมากมายโดยเฉพาะเราของความรักที่ พ่อค่อม ได้ทำไว้ให้เห็นเป็นแบบอย่าง พร้อมกับเล่าย้อนเส้นทางที่ทำให้ทั้งคู่ได้มารักและเจอกัน พร้อมกับความลับว่าตั้งใจวางแผนด้วยกันหลังจากที่ขอ ไอซ์ แต่งงานแล้วว่าอยากจะมีลูกด้วยกันเลย ทำให้ลูกสาวตัวน้อยมาก่อนวันที่จะจัดงานแต่ง

เจอกันครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง

แบงค์ : "ทำไมผู้หญิงคนนี้แบบถึงเนื้อถึงตัวจังเพราะเขามาจับขาเรา เราก็คิดว่ายังไง พอมารู้ตอนหลังก็คือเขาเป็นคนที่มีเพื่อนผู้ชายเยอะ แล้วก็พอเราอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกว่าเราเจอเขาวันแรกเรารู้สึกว่าเราสบายใจมากเลย อย่างเราเจอผู้หญิงวันแรกคือเราต้องเกร็งๆ นั่งเครียดๆ กินข้าวก็ต้องระมัดระวังกลัวเขาจะหาว่าเรามูมมามหรืออะไรอย่างนี้ แต่พอเราเจอเขามันไม่มีความรู้สึกตรงนั้นเลยครับ เพราะว่าเหมือนเราได้เจอเพื่อนมันสบายๆ"

ไอซ์ : "คือมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ได้นะคะ เพราะว่าเราจะเป็นคนมือไม้ถึงนิสัยเราชอบเป็นคนแบบนั้น แล้วพอเราไปเจอเขาหรือเจอใครเราอยากที่จะให้เขาสบายใจ แล้วคือที่โต๊ะวันนั้นก็มีแต่เพื่อนเรา แล้วเราก็ไม่อยากให้บทสนทนาบนโต๊ะนั้นมีแค่แบบเธอฉัน เธอฉัน เราก็เลยสร้างความสนิทสนมให้กับเขา ก็จับโน้นนี่หน่อยให้เขาไม่รู้สึกว่าแบบไม่ต้องเกร็ง ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้มาเจอสาวๆ นะ ให้เขารู้สึกว่าเขามาเจอเพื่อนๆ แต่พอหลังจากทานข้าววันนั้น เขาก็หายไปเลยนะคะ"

แบงค์ : "เพราะว่าเราตกใจอยู่ครับ ตกใจกับการจับขาของเขาอยู่" 

ณ วันนั้นถามตอนนี้ตอบไม่ต้องเขินเลยนะ ไอซ์ ชอบเขาเลยไหม

ไอซ์ : "ถ้าพูดชอบ มันชอบอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าถามว่าเราจะต้องแบบอยากเจอเขาอีกไหม หนูยังไม่ถึงขนาดนั้นเราก็รอใน 1 วันนั้นเขาหายไปไหน"

แบงค์ : "ในส่วนของผมถ้าพูดตรงๆ ผมรู้สึกตกใจนิดนึง ถ้าเล่าย้อนกลับไปเราเคยมีความสัมพันธ์ มีแฟนมีอะไรมาก็ไม่เคยเจอผู้หญิงที่คาแรกเตอร์แบบนี้ เราก็รู้สึกว่าหรือว่าเราจะชอบแบบนี้ เพราะว่าตอนแรกๆผมรู้สึกตกใจแต่พอเวลาผ่านไป เรามานั่งคิดว่าเอ๊ะ ….  หรือสรุปเราจะชอบผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจไม่ได้ชอบผู้หญิงที่จะต้องมาคอยมุ้งมิ้งประดิษฐ์อะไรกันมาก เพราะว่าก่อนหน้านี้เราคบกับใครเราต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ศึกษากันครับแล้วมันก็กว่าจะถึงจุดที่เรียกว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจมันใช้เวลา แต่นี่ .. มันกลับกันว่าเราอยู่กับเขาแค่แป๊บเดียวทำไมเราสบายใจเลยเพราะในช่วงที่เราหายไป 1 วันเราก็ไปนั่งคิดว่าสุดท้ายแล้วที่เราอยากคบกับใครเราต้องการแค่ความสบายใจ แต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆในใจนะครับ แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจโทรหาเขาครับ ก็เลยแบบโทรคุยต่อ ไลน์คุยต่อ

ไอซ์ : "ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่างั้นแสดงว่าเราโอเค ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านก็ ฉันคิดว่าฉันก็ผ่านนะ" 

หลังจากที่คบกันแล้วเห็นว่า ไอซ์ เป็นคนที่ดุมากจริงไหม

ไอซ์ : "คือเราเป็นคนที่ค่อนข้างดุ"

แบงค์ : "ไม่ค่อนข้างดุเลยครับ เขาเป็นคนที่ดุมากขนาดที่เราอยู่เฉยๆ ยังโดนเลยครับ"

ไอซ์ : "ไม่งั้นจะเอาอยู่เหรอคะ (หัวเราะ) คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรื่องที่มันเกิดขึ้นเหมือนเรากำลังคุยกับเขาที่มันซีเรียส เหมือนว่าเราต้องการที่จะรู้คำตอบเลย แล้วเขาไม่ตอบเราไม่สนใจเรา แล้วพอเราหันไปเห็นเขานั่งเล่นเกมส์ใน iPad อยู่แล้วเราก็หยิบ iPad มาเขวี้ยงใส่เขาเลยตอนนั้น ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราเป็นอะไรอยู่เราก็ยังไม่รู้ตัวเอง ยังไม่แน่ใจเลย"

แบงค์ : "เพราะผมไม่สนใจเขาเท่านั้นเองครับ เขาก็เขวี้ยง iPad ผมทิ้งไปแล้วเขาก็เอาเท้ามาถีบผม ตกเตียงไปเลย"

ไอซ์ : "แต่จังหวะที่เรา (ขอโทษนะคะ) ที่เราถีบเขาเราก็ร่วงไปข้างเตียงเหมือนกันเพราะตอนนั้นที่ถีบเขาคือ มันแรงมากแรงมาจากไหนไม่รู้เพราะกระเด็นไปทั้งคู่เลย แล้วพอคุณแม่เปิดประตูเข้ามาเราก็ตะโกนบอกว่า อย่ายุ่งๆ บอกอย่ายุ่งกับหนูแล้วเราก็อัด แบงค์ ต่อแล้ว แบงค์ เขาก็วิ่งไปห้องคุณพ่อเลยค่ะ เขาก็เคาะห้องคุณพ่อบอกพ่อช่วยผมด้วยๆ พอพ่อเปิดประตูออกมา เขาก็บอกว่าเข้ามาก่อนๆไอ้หนู (ซึ่งคืนนั้นแบงค์เขาก็นอนห้องคุณพ่อไปเลยค่ะ เพราะคุณพ่อบอกว่าให้นอนที่ห้องก่อนจะได้ปลอดภัย (หัวเราะ)) คือ ต้องบอกว่าช่วงนั้นไม่รู้ตัวเองจริงๆ ว่าเป็นอะไร ถ้าถามว่าย้อนกลับกลับเรายังจำไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อยๆ นะคะ"

แบงค์ : "พอหลังจากคืนนั้น พ่อก็จับมือเราแล้วก็พาเราออกมาคุยนอกบ้านว่า หนูเดี๋ยวหนูกลับไปอยู่คอนโดก่อนนะลูก เดี๋ยวถ้าเขาอารมณ์ดีแล้วค่อยกลับมาใหม่" 

สรุปสุดท้ายเรื่องนี้จบยังไง

ไอซ์ : "ใช้เวลาค่ะ เพราะเราจะเป็นคนไม่ต้องง้อ เพราะว่าถ้าเราโกรธ เรางอน ไม่ต้องง้อเพราะยิ่งง้อเราจะยิ่งขึ้น แยกกันอยู่เลย คือเวลาที่เรารู้สึกว่าเราไม่โอเคแล้ว เราก็จะบอกเขาว่าเธอๆ ไปก่อนๆแล้วเวลาผ่านไปเดี๋ยวเราก็จะดีขึ้น จะหายเอง แล้วก็จะทำให้เรากลับมาคุยกันเองก็ปกติเหมือนเดิม แต่พอกลับมาเราก็ขอโทษเขานะคะ"

จำประโยคที่ขอแต่งงานได้ไหมตอนนั้นพูดว่าอะไรเพราะว่านึกโมเมนต์ไม่ออกว่าในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังจะเป่าเค้ก แล้ว แบงค์ ขอ ไอซ์ แต่งงาน

แบงค์ : "ผมเอาไมค์ในร้านมาพูดแล้วก็คุกเข่าแล้วก็บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของไอซ์ แต่ขอบอกทุกคนก่อนนะครับ ว่าปีหน้าจะเป็นงานแต่งงานของเราครับ"

ไอซ์ : "คืออารมณ์หูดับเป็นยังไงเรารู้ ณ เวลานั้นเลย คือ เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นโมเมนต์นี้ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันเร็วมากด้วย แล้วไม่มีการคุยกันก่อน"

แบงค์ : "ที่เราขอเขาวันนั้นเพราะเราก็รู้สึกว่ามันจะไม่มีช่องทางไหนที่เขาจะปฏิเสธเราได้แล้วครับ เพราะเราใช้สังคมกดดันมาก ถ้าเธอจะตอบว่าไม่ในที่ที่คนเยอะขนาดนี้เนี่ย ไม่ได้นะ แต่เราก็ไม่ได้ขอแล้วแต่งเลยนะครับ วันที่ขอแต่งงานเสร็จเราก็ตั้งใจว่าอีก 1 ปีเราถึงจะจัดงานแต่งงาน คือ เหมือนเราก็จะให้ช่วงเวลามันได้ผ่านไปเพิ่มขึ้นด้วย ถือซะว่าเป็นการจองเอาไว้ก่อนแล้วกัน"

แต่ในระหว่างทางจองล่วงหน้านั้นก็ต้องพูดกันตามความจริงตามข่าวคือ เราท้อง

ไอซ์ : "ใช่ค่ะ แต่เป็นการท้องที่เกิดจากความตั้งใจ"

แบงค์ : "เรื่องนี้มันเหมือนกับว่าเราเคยคุยกันว่าแบบว่าเธอหลังจากที่เราแต่งงาน เราอยากมีลูกเลยเพราะว่าตัวเราอายุ 29 ปีแล้ว ณ ตอนนั้นนะครับ แล้วก็มีความรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างไรก็อยากมีลูกก่อนอายุ 30 ปี ในความเชื่อของคนสมัยก่อนนะครับที่อยากจะมีลูก แล้วด้วยความที่เขาเป็นคนมีลูกยากด้วยความที่เขาเพิ่งผ่าตัดที่ปีกมดลูกไป (เพราะว่าเขาเป็นซีสต์ที่ปีกมดลูกทั้งซ้ายและขวาเลย) เราก็เลยวางแผนกันคิดว่ามันจะยากเนี่ยเราก็ลองปล่อยไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราจะแต่งงานจริงๆ ดูไหม ถ้าเกิดมันถึงตอนนั้นมันก็ยังไม่ติดเราก็ค่อยมาหาวิธีการทำกัน แต่ด้วยความแข็งแรงของผมนั้น (หัวเราะ) แต่เราก็ใช้เวลาหลายเดือนอยู่ครับประมาณ 8-9 เดือนในที่สุดก็ท้องครับ"

 แล้วในช่วงเวลาที่เรารู้ว่าท้องตอนนั้น ข่าวเรื่องการแต่งงานของเราออกไปหรือยัง

ไอซ์ : "ออกไปแล้วค่ะ เพราะว่าเราขอนานแล้ว"

แบงค์ : "แล้ววันแต่งงานเราก็มีน้องแล้ว"

แล้ว น้าค่อม ว่ายังไง

แบงค์ : "(หัวเราะ) คือเหมือนเดิมเหตุการณ์วนกลับมา loop เดิมครับ คือ ทุกคนในบ้านจะรู้หมดว่า ไอซ์ท้องแล้วนะ คุณแม่รู้ น้องในบ้านรู้ ทุกคนรู้ มีคุณพ่อไม่รู้อยู่คนเดียว แล้วทุกคนก็ไม่มีใครกล้าไปบอก ไม่มีใครกล้าไปพูด ทุกคนเกี่ยงกัน ไอซ์ก็เกี่ยงกับเรา ไอซ์ก็ขอให้คุณแม่ไปบอกให้หน่อยได้ไหม (เพราะตอนนั้นเราไม่รู้ใจของคุณพ่อเลยทำให้เรากลัวเพราะเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่) แล้วเพราะด้วยความที่ ไอซ์ เขาเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย สุดท้ายก็เลยเป็นผมเองเดี๋ยวผมไปบอกเอง ผมก็เดินไปบอกแบบตรงๆ เลยแบบลูกผู้ชายคุยกันเลยว่า พ่อครับ…ไอซ์ท้องแล้วนะครับ สรุปคำตอบที่ผมประทับใจมากจนถึงทุกวันนี้เลย พ่อเขาตบไหล่ผมแล้วพูดว่า เก่งมากไอ้หนู" 

วันแต่งงานเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องอยู่ในความทรงจำของทั้งสองคนอยู่แล้ว และรวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วยจำประโยคที่คุณพ่อให้คำอวยพรในวันนั้น หรือ สิ่งที่คุณพ่อพูดได้ไหม

แบงค์ : "จำได้ครับ และจำได้แบบดีมากๆ เพราะว่าเป็นคำพูดของคนคนเดียวที่แบบสามารถทำให้เรายิ้มไปด้วยและร้องไห้ไปด้วยได้ คุณพ่อเขาพูดว่า รักลูกสาวฉันนานๆ นะ จำพ่อไว้นะลูก ลูกพ่อไม่ใช่รถ ขับเสร็จแล้ว เบื่อมาคืนเต๊นท์ไม่เอานะ มันมีอะไหล่ลูก เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเราเจริญแล้ว พ่อรักเอ็งมากนี่คือ ชีวิตของพ่อเท่านี้ คือ ทั้งรอยยิ้มและน้ำตามันมาในประโยคเดียวเลยคือแบบ สุดยอดแล้ว (ไอซ์ ร้องไห้)"

แต่เราก็มาถึงเรื่องที่เราไม่อยากให้มีครอบครัวไหนได้เจอหรือต้องเกิดขึ้นเมื่อทราบข่าวว่า น้าค่อม ติดโควิด

แบงค์ : "เขาจะพูดตลอดคือด้วยความที่หลายๆ คนที่รู้จักแก จะรู้ว่าพ่อเป็นคนที่ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือ เป็นคนไม่เล่นโซเชียลไม่เล่นอะไรครับ ก็เหมือนกับช่วงนั้นก็อยู่โรงพยาบาลนานแล้วประมาณ 10 กว่าวันแล้ว ถ้าเราเป็นคนทั่วไปเราก็เหมือนเริ่มจะงอแงแล้วว่าแบบไม่มีอะไรทำ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เริ่มแบบว่าไม่อยากที่จะรักษาแล้วอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเขารู้สึกรำคาญกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่มันเยอะแยะมากมาย"

ไอซ์ : "คือ วันที่เข้าโรงพยาบาลที่สอง หนูได้คุยกับพ่อครั้งสุดท้ายถามว่าเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าพ่อไม่ไหวแล้ว พ่อไม่ไหวแล้ว พ่อไม่อยากทนแล้ว (ร้องไห้) พ่อไม่ไหวจริงๆ แล้ว ตอนที่เราได้ยินพ่อพูดแบบนั้น คือ วิ่งไปเข้าห้องน้ำร้องไห้แล้วก็วิ่งกลับมาให้กำลังใจคุณพ่อบอกว่าไม่ได้ แม่รอพ่ออยู่ข้างบน เพราะแม่ก็ติดโควิดเหมือนกัน ณ ตอนนั้น คือ คุณแม่ก็อยู่โรงพยาบาลเดียวกับคุณพ่อ เราก็บอกว่าไม่ได้แม่อุตส่าห์มาหาพ่อจนถึงที่นี่ เพื่อที่จะออกไปพร้อมพ่อ พ่อจะยอมแพ้ไม่ได้ทุกคนสู้ไปพร้อมพ่อหมดเลย เราก็พยายามบอกว่าพ่อรู้หรือเปล่าว่าคนทั้งประเทศ เขาให้กำลังใจพ่อเยอะมากเลยนะพ่อ ถ้าพ่อออกมาแล้วพ่อมาดูพ่อจะดีใจมากเลย ซึ่งทุกครั้งที่เราอ่อนแอ หรือ อยากร้องไห้ ห้องน้ำกับในครัวจะคือที่อ่อนแอของเรา เพราะว่าเราไม่อยากให้ลูกกับแบงค์เห็น เพราะแบงค์จะพูดกับเราตลอดว่า อย่าร้องต้องเข้มแข็งถ้าเราร้องคนหนึ่งคนในบ้านใจจะเสีย"

แบงค์ : "เพราะ ณ ตอนนนั้นคือผมอาจจะดูใจร้ายนะเพราะเหมือนกับบอกแฟนว่า เธอห้ามร้องไห้นะ อย่างน้อยคือร้องไห้ได้แหละแต่ว่าก็…ถ้าพยายามได้จริงๆ คือไม่อยากให้ร้องเพราะว่า ณ จุดตอนนั้นมันเหลือเรากันอยู่สองคนที่ทำอะไรได้ครับ เพราะว่าน้องชายเขาก็ต้องไปกักตัว เพราะทุกคนในบ้านตอนนั้นคือ ติดโควิดหมดเลย"

ไอซ์ : "คือ ไม่มีใครได้มาใช้ชีวิตแบบปกติเท่าเราสองคนก็พยายามไม่ร้อง" 

มีอะไรอยากจะบอกกับคนทั้งประเทศที่รัก น้าค่อม เหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัวเช่นกัน

ไอซ์ : "คือ ไอซ์ ต้องขอบคุณจริงๆ นะคะ ทุกคนที่รักคุณพ่อ คือวันที่เราเจอปัญหาเหมือนเขาเจอด้วย เขาทำบุญให้พ่อเขาสวดมนต์ให้พ่อ ส่งวิธีช่วยเหลือคุณพ่อมาให้เราทุกช่องทางเลยค่ะ ขอบคุณที่ทำให้ครอบครัวของพวกเราไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว ขอบคุณที่ทุกคนพร้อมที่จะโอบกอดพวกเราไปพร้อมๆ กัน แล้วหลังจากที่คุณพ่อเสียทุกคนก็พูดเหมือนกันว่าเขาก็จะรักครอบครัว น้าค่อม เหมือนที่เขารัก น้าค่อม ไอซ์ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ นะคะ"

แบงค์ : "แล้วก็ขอบคุณพี่ๆ พยาบาลแล้วก็คุณหมอ ที่ตอนนี้สู้กันอย่างหนักหน่วง แล้วก็ขอบคุณพี่ๆพยาบาลแล้วก็คุณหมอที่ดูแลคุณพ่อในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยนะครับ ไหนๆ มีโอกาสพูดแล้วก็ขอบคุณที่สู้กันมา เหนื่อยกันมาตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาหรืออะไรก็แล้วแต่ถึงแม้ปลายทางจะเป็นแบบนี้ แต่ว่าก็ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมานะครับ"

แบงค์ ได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตของคุณพ่อในการใช้ชีวิตคู่ของตัวเอง

แบงค์ : "คือ คุณแม่กับคุณพ่อของไอซ์ เนี่ยเหมือนคู่เรามากๆ คือ คาแรกเตอร์ของ ไอซ์จะเหมือนแม่มาก คือมันทำให้เราเรียนรู้จากเขาได้เลยครับ ว่าแบบเออมันสุดท้ายแล้วชีวิตคู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีเรื่องอะไรที่เราต้องทะเลาะกันไม่ชอบกันของอีกฝ่ายหนึ่งแต่สุดท้ายถ้าอะไรที่มันอยู่ด้วยกันแล้วมันมีความสุขมากกว่าเนี่ย  อย่างไรมันก็คุ้มค่าดว่าที่จะอยู่ด้วยกัน คือ เรามองข้ามไอ้จุดแบบเหมือนทุกคนมันจะต้องมีเรื่องทะเลาะกันอยู่แล้ว มีเรื่องที่ไม่ดีอยู่แล้วเรามองข้ามไปได้ช่วงความสุขตรงนั้น เราเหมือนนิ่งได้เก็บเกี่ยวมากขึ้น" 

 แล้วยิ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คนไทยทั้งประเทศได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันกับเรื่องของคุณพ่อที่เกิดขึ้น มันทำให้เรารู้ว่าเราต้องรักกันให้มากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าวันหนึ่งอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้างเนอะ

แบงค์ : "คือ ผมพูดกับ ไอซ์ประโยคหนึ่งหลังจากที่เราสูญเสียคุณพ่อไปแล้วนะครับว่า เธอต่อไปนี้เราอาจจะต้องทำดีๆต่อกัน ไว้ในทุกๆวันเนอะ พูดดีๆต่อกันไว้ตลอดๆเพราะเราไม่รู้ว่าประโยคที่ฉันพูดวันนี้ หรือประโยคที่เธอพูดวันนี้ มันอาจจะเป็นประโยคสุดท้ายที่เราได้คุยกันหรือเปล่า เราไม่รู้ว่าชีวิตคนเรามันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน" 

มีอะไรที่อยากบอกกันและกันบ้างจากการที่ดูแลแบบคนรอบตัวไปหมดเลย

ไอซ์ : "สำหรับไอซ์ก็อยากจะขอบคุณ แบงค์ ทุกเรื่องเลยค่ะ (ร้องไห้) คือ ถ้าไม่มีแบงค์ ไอซ์ และครอบครัวจะไม่มีหลักเลยก็ได้ ขอพูดเฉพาะเรื่องคุณพ่อนะคะ บ้านเราก็มีแต่ผู้หญิงน้องก็เด็กค่ะ วันหนึ่งมันเจอปัญหาที่หนักขนาดนี้ ไอซ์ พูดตรงๆว่าไอซ์ ยืนไม่ได้แน่เลยค่ะ เพราะเขาคือคนที่คอยบอกน้องบอกเราว่าคุยกับแม่เราว่าใจเย็นๆนะ มีสตินะ เชียร์อัพเพิ่มพลังบวกให้กับทุกคนในบ้านเรามีเขาคนเดียวจริงๆก็ขอบคุณ แบงค์ มากๆเลยที่แบบเพิ่มพลังบวกให้ไม่ใช่แค่เราให้ทุกคนในบ้านเรา แบงค์ รักครอบครัวเราเหมือนครอบครัว แบงค์ เอง แล้วตั้งแต่วันที่ แบงค์ ก้าวเข้ามาในครอบครัวเรา แบงค์ ไม่เคยทิ้งพวกเราให้เคว้งเลยขอบคุณจริงๆ"

แบงค์ : "คือ จริงๆ ต้องบอกว่าขอบคุณที่เขาเข้ามาเป็นความสุขของชีวิตผมที่ผ่านมา คือ เขาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบออกมาจากเทพนิยาย หรือว่าเป็นแม่ศรีเรือน แต่เชื่อไหมครับว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมมีความสุขได้ในทุกๆวัน ถึงแม้ว่าเราจะผ่านเรื่องราวแย่ๆร้ายๆกันมาก็ความสุขที่เขามีให้มันทดแทนมันชดเชยกันได้หมดจนแบบผมรู้สึกว่าอยากขอบคุณเขาที่เป็นความสุขของผมครับ" 

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ "แบงค์-ไอซ์" เปิดความลับตั้งใจท้องก่อนจัดงานแต่ง เล่าโมเมนต์ไม่กล้าไปบอก "พ่อค่อม"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook