เปิดใจ สุดารัตน์-น้องจินนี่ แม่ลูกสุดสตรอง ท่ามกลางการเมืองและเทคโนโลยียุคใหม่
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย เป็นคนที่ผู้คนจำนวนมากมักนึกภาพออกเป็นลำดับต้นๆ หากถามถึงผู้หญิงที่โดดเด่นในวงการการเมืองไทย
Sanook.com พูดคุยกับนักการเมืองชื่อดังรายนี้ พร้อมกับ จินนี่-ยศสุดา ลีลาปัญญาเลิศ ลูกสาว ถึงแง่มุมการเลี้ยงลูกในขณะที่ตนต้องแบ่งเวลาครอบครัวมาลงพื้นที่เพื่อพบประชาชน การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และมุมมองต่อการเมืองไทยในสายตาของเยาวชน
สไตล์การเลี้ยงลูกเป็นอย่างไร?
แม่หน่อย: สไตล์การเลี้ยงพี่เนี่ยก็... ให้ความรู้เป็นหลัก ให้ความคิดเป็นหลักด้วย ความรู้อย่างเดียวเอาตัวไม่รอด ต้องคิดรอบ คิดเป็น แล้วก็จะเน้นอธิบายถึงประสบการณ์เรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรอย่างเงี้ยนะคะ จะเลี้ยงลูกแบบเป็นเพื่อนน่ะ
จินนี่: เขาจะให้พื้นที่กับพวกเราค่อนข้างเยอะ ค่อนข้างแบบปล่อยให้พวกเราใช้ชีวิต ในแบบที่คิดว่าโอเค มันถูกต้อง แต่ว่าถ้าทุกครั้งที่มีปัญหา หรืออยากได้มุมมองของผู้ใหญ่อย่างเงี้ยเราสามารถเขาไปคุยกับเขาได้ทุกเรื่องเลย
แม่หน่อย: เด็ก ๆ ทั้ง 3 คนเนี่ยอาจจะโดนแม่... โดยอาชีพอะเนอะ เลยโดนแม่เลี้ยงในรถ จะต้องลงพื้นที่กับแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ เสาร์อาทิตย์เนี่ย แม่ก็อยากจะอยู่กับลูก ก็แก้ปัญหาโดยการใช้รถตู้ จะมี… เทปวีดิโอการ์ตูน อะไรอย่างเงี้ย ถึงเวลาตอนลงพื้นที่ออกไปเดินเยี่ยมชาวบ้านนั่งคุยแบบไม่เป็นทางการ เราก็จะเอาเขาลงไปด้วย ก็ชาวบ้านก็ช่วยเลี้ยง นักข่าวก็ช่วยเลี้ยงนะคะ
คนในทางการเมือง ละพี่เนี่ยเป็นคนที่ชอบทำงาน ดังนั้นสิ่งที่สูญเสียไปคือเวลา เวลาที่เราจะต้องไปทำให้กับส่วนรวม ก็จะแย่งเวลาครอบครัวไป พี่ก็โชคดีตรงที่ว่า พ่อเขาเนี่ยช่วยเลี้ยงลูก
ใช้เวลาตอนเช้าเนี่ยแหละในการที่จะสอนลูกนะคะ อันนี้เขาก็แบ่งเบาภาระพี่ไปได้ หรือตอนหัดขับรถ เขาก็จะเป็นคนรับภาระ
จินนี่: แม่สอนไม่ได้
แม่หน่อย: แม่สอนไม่ได้ แม่สอนสงสัยจะ...
จินนี่: ไม่รอด
แม่หน่อย: ไม่รอดเพราะแม่ใจร้อน
ข้อคิดอะไรที่แม่เน้น?
จินนี่: เรื่องความเข้มแข็งเป็นสิ่งที่แม่พูดกับหนูตั้งแต่เด็ก สอนมาตลอดว่าเราต้องมีความแข็งนอกอ่อนใน คือข้างในเราควรมีความเข้าใจคนอื่น แต่ว่าข้างนอกอะ เราต้องแข็งแรง เราต้องไม่ทำร้ายคนอื่น แล้วเราต้องไม่ให้คนอื่นมาทำร้ายเรา
คือหนูก็เห็นจากตัวอย่างคือที่แม่เป็นอยู่ทุก ๆ วันนี้แล้ว ก็พยายามสตรองแบบที่แม่บอกอยู่ค่ะ
แม่หน่อย: ตอนเขาเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ไปอยู่ค่าย ไปต่างจังหวัด ไปพัฒนา วันนั้นงงมากตอนน้ำท่วม แม่ก็ยุ่งมากเลยนะ 2 ปีที่แล้ว ที่ท่วมอีสานเยอะแยะไปหมดเลยอะ เขาก็ขอพ่อว่าเขาจะไปที่มหาสารคาม ไปเยี่ยมบ้านที่เขาเคยไปทำค่าย
พี่ลงจากเครื่องบินดอนเมือง ไปรอรถ เราก็งง อ้าว! จินนี่จะไปไหน เจอกันอยู่กลางดอนเมือง บอก "อ้าว! จินนี่จะไปไหน" "อ๋อ! จินนี่จะไปเยี่ยมแม่" เขาเรียกแม่อะไร
จินนี่: เรียกพ่อ ๆ แม่ ๆ อะ
แม่หน่อย: จริง ๆ แล้วเนี่ย พี่สอนให้ลูก ๆ กินเหล้าให้เป็นด้วยนะ แต่ว่าทำยังไงกินแล้วเราจะมีสติ เราจะไม่ไปทำร้ายคนอื่น ด้วยการ เช่น ขับรถ ถูกมั้ย หรือว่าเรานี่จะทำแบบ ทำให้คนเขามองภาพพจน์ไม่ดี พี่โดนสอนอย่างงี้ตั้งแต่สมัยก่อนเข้าจุฬาฯ ปรากฏว่าเข้าคอร์สสำคัญของคุณพ่อพี่ ของคุณตาเขาเนี่ย พ่อจะสอนให้กินเหล้าทุกอย่างเลย ตั้งแต่แบบอ่อน ๆ จนไปถึงนู่นแหนะค่ะ เหล้าขาวเลย ที่มันแรงสุด ก็สอนให้ลูกเข้าใจ เพราะว่าเราห้ามไม่ได้ เราห้ามไม่ได้ ก็เขาก็ต้องมีสังคม มีการสังสรรค์ ถ้ารู้ว่าจะต้องออกไปวันเกิดเพื่อน ต้องกินล่งกินเหล้า เดี๋ยวนี้มันสบายขึ้นก็ไม่ต้องเอารถไป เดี๋ยวแกร็บก็มานะคะ
คนเป็นแม่ต้องปรับตัวอย่างไรในโลกยุคใหม่?
แม่หน่อย: ในยุคนี้สมัยนี้ เราตามเขาไม่ทัน เราจำเป็นที่จะต้องฟังจากลูกด้วย มีความคิดที่รู้ว่าโลกยุคใหม่เป็นยังไง ความคิดของเด็กยุคใหม่เป็นยังไง ยิ่งตอนนี้มีช่องว่างระหว่างวัยสูงมากนะคะ แต่พี่โชคดีพี่ปรับตัว พอเทคโนโลยีมันเข้ามา
มันเริ่มเห็นช่องว่างระหว่างวัย เราเริ่มพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นที่ไลน์มาใหม่ ๆ เขานั่งกับเพื่อนเขา เฮ้ย! เขานั่งไลน์คุยกัน เราต้องเข้าใจเขานะ เราต้องเข้าใจเทคโนโลยีด้วย พี่ก็เลยไปเรียนในคอร์สที่เด็ก ๆ เขาเรียนกัน แล้วก็ที่สำคัญนี่คือว่า
ลูก 3 คนนี่แหละมาปรับเรา ว่าแม่ต้องรู้เรื่องนั้นนะเรื่องนี้นะ เราก็เลยเห็นความจำเป็นว่า เทคโนโลยีมันเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องอยู่ในโลกใหม่ให้ได้ เราอาจจะไม่รู้เท่าเขา แต่เราก็สามารถสื่อสารกับเขา
จินนี่: หลังจากที่แม่เจอกับคนรุ่นใหม่เยอะ ๆ ไปเทคคอร์สเรียนนู่นนี่นั่น หนูรู้สึกว่า เดี๋ยวนี้แม่อาจจะทันสมัยกว่าหนูในบางเรื่องแล้ว แบบเรื่องบิตคอยน์หรือเรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ บางครั้งแม่ มีความรู้เยอะกว่าหนูอีก แม้แต่อะไรเล็ก ๆ อย่าง
ไลน์ หรือ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ตอนแรกแม่เขาเล่นไม่เป็นเลย แบบไม่ได้เล่นเลย ไม่เข้าใจพวกหนูว่ามันจะสนุกยังไงคุยกันผ่านโทรศัพท์ แต่ตอนนี้กลายเป็นติดโทรศัพท์มากกว่าหนูละค่ะ
แม่หน่อย: ทำงาน ทำงาน แหม...
สื่อสารกับลูกอย่างไรในช่วงการเมืองดุเดือด
แม่หน่อย: ก็เรารู้ว่า ช่วงที่ดุมาก ๆ เนาะ ก็จะพูดกับเขา... จริง ๆ เนี่ย เขาก็ได้รับผลกระทบตั้งแต่ตอนที่ปฏิวัติปี 49 ตอนนั้นเขาเรียนอยู่น่าจะแค่ประถม แล้วก็จะมีการโจมตีที่รุนแรงมากตอนก่อนปฏิวัติ ซึ่งก็ได้รับแรงกดดันนะ เราก็อธิบายให้เขาฟัง
เท่าที่วัยเขาจะรับได้ แล้วก็ให้เขาเข้าใจว่า เขากำลังจะโดนอะไร ซึ่งก็ต้องถามเขาว่าเขาเครียดมั้ยตอนนั้น
จินนี่: ตอนรัฐประหารครั้งนั้นจำได้ว่าอยู่ประถม นอนอยู่ห้องคุณยายกับพี่ชายคนกลาง แล้วอยู่ดี ๆ พี่ชายคนโตก็มาปลุกหนูว่าเราต้องออกนะ มันมีรัฐประหาร แล้วตอนนั้นหนูก็ไม่เข้าใจว่ารัฐประหารคืออะไร แล้วทำไมต้องออกจากบ้านด้วย
แต่รู้สึกว่าตอนนั้นบรรยากาศมันไม่ดีเลย แล้วรู้สึกว่ามันเป็น... ความทรงจำที่ฝังใจ มันแย่มาก แล้วก็ยิ่งรู้ว่ามันมีการคุกคามอะไรพวกเนี้ยยิ่งเป็นอะไรที่ฝังใจตอนเด็กเลยว่าการมีรัฐประหารไม่ใช่เรื่องดี แล้วพอโตมา ยิ่งเห็นอะไรมากขึ้น ยิ่งแบบ… พอเข้าใจอะไรมากขึ้น ก็ทำให้รู้ว่าระบบเผด็จการมันไม่ดีสำหรับใครเลย มันไม่ดีสำหรับประชาชน มันไม่ได้กระทบแค่บ้านเราถูกคุกคาม แต่มันกระทบคนในวงกว้าง
เม้าธ์แม่ให้ฟังหน่อย
จินนี่: หนูว่าความบ้างานของเขา เหมือนเขาอยู่นิ่งไม่เป็นอะค่ะ ถ้าสมมติอะ อย่างช่วงโควิด เขาอาจจะออกไปไหนมากไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องอยู่กับไลน์อยู่กับซูม อยู่ตี 1 ตี 2 แทนที่จะนอน ก็เล่นไลน์ ไม่ก็พูดคลับเฮาส์ หรือว่าช่วงไหนถ้าไม่ได้ทำงานการเมืองจริง ๆ เขาจะไม่มีวันอยู่เฉย ๆ พักผ่อน แต่เขาจะจัดบ้านจัดนู่นจัดนี่ จัดต้นไม้ คือเขาอยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นจริง ๆ อะค่ะ ก็เลยรู้สึกว่า มันแปลกเหมือนกันเนาะการที่มีแม่แบบนี้ เพราะว่าเป็นเราถ้าเราทำงานมาหนัก เราก็อยากนั่งอยู่เฉย ๆ แต่ว่าด้วยความเป็นแม่ ก็ต้องเข้าใจแม่ว่า แม่อยู่นิ่งไม่เป็น
แม่เป็นคนที่ไม่ดูแลสุขภาพเลย แบบไม่เลยจริง ๆ ค่ะ ถ้าแม่อยากทำงานที่แม่รัก อยู่กับประชาชนที่แม่รัก แม่ต้องดูแลตัวเองด้วย
มีอะไรจะบอกแม่
จินนี่: ค่ะ ก็… เอาเป็นว่า อยากให้กำลังใจแม่นะคะ อยากให้แม่สู้ ๆ แล้วก็หวังว่า แม่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ อยากช่วยประเทศจริง ๆ อยากให้แม่มีกำลังใจ จะคอยสนับสนุนอยู่เรื่อย ๆ ค่ะ
แม่หน่อย: ขอบคุณค่ะ ก็… เขาก็คอยแนะนำเหมือนกันว่าจะสื่อสารยังไง ในคนรุ่นเขา ก็เดี๋ยวจะเอาไปช่วยหาเสียง
ทิ้งท้ายถึงใครก็ได้
จินนี่: ถ้าการเมืองที่ดี หนูรู้สึกว่า ไม่ว่าใครจะไปเป็นผู้นำก็ตาม หนูอยากให้เขาฟังประชาชนจริง ๆ ฟังแล้วก็พยายามเข้าใจเราจริง ๆ อะค่ะ ยิ่งสมัยนี้มันมีโซเชียลมีเดีย สื่อ ที่สามารถทำให้เสียงของประชาชนมันดังขึ้นได้ หนูก็เลยรู้สึกว่าคนที่มันมีอำนาจ เขาควรใช้โอกาสนี้ในการเข้าถึงประชาชนและรับฟังจริง ๆ ว่าปัญหาของเขาคืออะไร อยากอยู่ในประเทศที่ทุกคนสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าเขาจะมาจากพื้นเพแบบไหน ฐานะเป็นยังไง แต่ว่าสุดท้ายอยากให้เขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเองอะค่ะ