อภิสิทธิ์ลั่นปัญหามาบตาพุดต้องจบศาลปค.สูงสุดนัด2พ.ย.
นายกฯ ลั่นหลังประชุมบอร์ดสิ่งแวดล้อมวันที่ 30 ตุลาคมทุกปัญหาต้องจบ เผยคุยกับชาวบ้านยังเห็นต่างกันในเรื่องกฎหมาย ชาวบ้านยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อต่อกระทรวงอุตสาหกรรม
รายงานข่าวแจ้งว่า องค์คณะศาลปกครองสูงสุด ได้นัดไต่สวนอุทธรณ์กรณีที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและพวกรวม 8 คน ยื่นขอให้ศาลปกครองสูงสุดระงับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลาง ที่สั่งให้ระงับการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 76 โครงการเป็นการชั่วคราว และกลับคำสั่งคุ้มครองดังกล่าว ในวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.30 น. โดยสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อนและพวกรวม 43 คน ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่มาบตาพุด ได้ยื่นคัดค้านคำอุทธรณ์ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ว่าในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ วันที่ 30 ตุลาคมนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนทั้งหมด ทุกกระบวนการ และน่าจะได้ข้อยุติ เพราะทำงานมาหลายเดือนแล้ว รวมทั้งความเห็นที่ยังต่างกันอยู่ก็ต้องให้จบพร้อมกัน โดยในการประชุมคาดว่าจะมีการเสนอเรื่องระเบียบที่จะรองรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 67(2) ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดทั้งขั้นตอนและประกาศประเภทกิจการต่างๆ
ส่วนกรณีที่ชาวบ้านมาบตาพุดเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่ให้ระงับ 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดนั้น จากการที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ได้ไปคุยกับชาวบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มีการพูดถึงมาตรฐานการทำงานในพื้นที่ ซึ่งค่อนข้างเห็นตรงกัน แต่สิ่งที่ยังเห็นต่างกัน คือข้อกฎหมาย ที่จะต้องพูดคุยกันอีกครั้ง โดยส่วนตัวได้คุยโทรศัพท์กับแกนนำชาวมาบตาพุด 2 ครั้ง
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังรับข้อเรียกร้องจากนายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมรับข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกที่มี 3 ข้อ คือ 1.ให้กระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพที่กำหนดกิจการไว้ 8 ประเภท
2.ตั้งคณะกรรมการอิสระร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและชุมชนเพื่อคัดแยกโรงงานที่ปล่อยมลพิษออกจากโรงงานที่ดำเนินการตามกฎหมาย และ 3.ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินเคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะรายงานข้อเรียกร้องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ภายใน 1 เดือน