ไม่พ้นดราม่า! เมีย ผอ.รพ.ดังโคราช ได้ฉีดไฟเซอร์ จับผิดทำงานคลินิกแต่ไม่ใช่ด่านหน้า
สสจ.โคราช ตั้งกรรมการสอบ ผอ.โรงพยาบาลดังโคราช หลังเมียได้โควตาฉีดไฟเซอร์ ถ้าไม่ใช่ด่านหน้าเอาผิดแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีมีการแชร์ต่อในโลกโซเชี่ยล ถึงรายชื่อผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ โควตาของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา ซึ่งพบว่าในจำนวน 144 ราย ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ มีรายชื่อของภรรยา ผอ.โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งทำงานอยู่ในคลินิกเอกชน และสามีของหัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเปิดร้านขายยารวมอยู่ด้วย จนมีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากว่าทั้ง 2 คนนี้ไม่ได้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า เหตุใดจึงได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรมาให้สำหรับฉีดบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั้น
ล่าสุด วันนี้ (17 ส.ค.64) นายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามา ถึงกรณีดังกล่าว ขณะนี้ตนเองก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติแล้ว
โดยเบื้องต้นทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ชี้แจงว่าได้ทำการสำรวจรายชื่อบุคลากรทางการในโรงพยาบาล ที่มีความประสงค์จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ พร้อมทั้งบุคลากรในคลินิกเอกชน และเสนอชื่อมาทั้งหมดจำนวน 138 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล จำนวน 135 คน และคลีนิกเอกชน จำนวน 3 คน ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฯ จึงได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ไปให้ จำนวน 144 โดส โดย 138 โดส สำหรับฉีดให้กับผู้ที่เสนอชื่อมา และอีก 6 โดส ซึ่งบรรจุอยู่ใน 1 ขวด ให้ไปสำรองไว้กรณีเกิดการเสียหายหรือใช้การไม่ได้ และทางโรงพยาบาล ได้นำ 6 โดสที่ให้เกินไปฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ตั้งครรภ์ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 3 ไว้แต่ยังไม่ได้
ส่วนที่มีปัญหาร้องเรียนขณะนี้ คือการนำไปฉีดให้กับบุคคลที่ทำงานอยู่ในคลินิกเอกชน 3 คน ซึ่ง 2 ใน 3 คนนั้น เป็นภรรยาของ ผอ.โรงพยาบาลฯ และสามีของหัวหน้ากลุ่มเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภคด้วย ทำให้เกิดข้อครหาถึงความไม่เหมาะสม เนื่องจากวัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกนี้ จะเน้นฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ที่ปฏิบัติหน้าที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 จริงๆ ดังนั้นตนเองก็ได้ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปฉีดให้กับบุคคลดังกล่าว ถ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ก็จะต้องดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งต้องขอเวลาสอบข้อเท็จจริงสัก 1 สัปดาห์ จึงจะรู้ผลและดำเนินการต่อไป