เตรียมออกประกาศแนวทางแก้ปัญหามาบตาพุด

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมได้แนวปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง แล้ว เตรียมออกประกาศในเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรี ระบุคุยกับชาวมาบตาพุดแล้วเห็นตรงกัน เชื่อจะทำความเข้าใจกันได้มากขึ้น ส่วนจะต้องระงับ 76 โครงการหรือไม่ รอศาลตัดสิน 2 พ.ย.นี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ วันนี้ (30 ต.ค.) โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโครงการในมาบตาพุด ที่ศาลปกครองกลางสั่งระงับ 76 โครงการอุตสาหกรรม ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง และยังเห็นชอบหลักการทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) โดยทั้งหมดจะออกเป็นประกาศที่ชัดเจนเร็วๆ นี้

"การแก้ปัญหาอื่นๆ เช่น การเยียวยาคนในพื้นที่ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้จัดทำแผน การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ขณะนี้ แผนส่งมาแล้ว ผมจะตั้งคณะกรรมการ ที่มีตัวแทนภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้อง มาช่วยดู และติดตามเรื่องผลกระทบด้วย ขณะเดียวกัน จะเร่งรัดให้มีการหารือเรื่องการศึกษาภาพรวมของโครงการมาบตาพุดในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ อีกครั้ง เชื่อว่าทั้งหมดนี้น่าจะหาคำตอบให้ปัญหาต่างๆ ได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันว่า 76 โครงการในมาบตาพุด ที่ถูกศาลปกครองกลางสั่งระงับ ผ่าน EIA แล้ว และไม่พบว่า มีผลกระทบอย่างรุนแรง แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ขอให้ผู้ที่มีความห่วงใยมาดูว่า โครงการไหนที่คิดว่ามีปัญหา มีปัญหาเรื่องใด และสามารถทำอะไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ไม่มีผลกระทบจริงๆ

ต่อข้อถามว่า ขณะนี้มีบางโครงการยังไม่ยุติการดำเนินการ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบ โครงการทั้งหมดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ยังไม่ได้ประกอบกิจการ ดังนั้น หากมีมาตรการอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถยืดหยุ่นได้ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้ประสานไปยังผู้ประกอบการทั้ง 76 โครงการ ซึ่งพร้อมเข้ามาร่วมกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจ

"การก่อสร้างเป็นการตัดสินใจของภาคเอกชน แต่การประกอบการคงทำไม่ได้ ส่วนการระงับโครงการ ยังขอความชัดเจนอยู่ว่า หมายถึงการก่อสร้างหรือไม่ อย่างไร แค่ไหน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงตัวแทนชาวบ้านมาบตาพุดที่มาเข้าพบเช้าวันนี้ ว่า จากที่ได้คุยกัน ต่างเห็นตรงกันว่า น่าจะเป็นไปตามแนวทางนี้ ส่วนที่ศาลนัดไต่สวน วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายนนี้ ผลตัดสินออกมาอย่างไร ก็ต้องดำเนินการตามนั้น ดังนั้น เมื่อเห็นตรงกัน ก็น่าจะทำความเข้าใจได้มากขึ้น