ฝันดี-ฝันเด่น ช่วยน้ำท่วมโบราณสถานวัดกิ่งแก้ว สูง 1 เมตร สูบตั้งนานน้ำไม่ลด คนไม่พอ
ฝันดี-ฝันเด่น ช่วยน้ำท่วมโบราณสถานวัดกิ่งแก้ว สูง 1 เมตร สูบตั้งนานน้ำไม่ลด กำลังคนไม่พอ ไร้หน่วยงานช่วยเหลือ
จิตอาสาภาคเอกชน ใจถึงใจคนไทยไม่ทิ้งกัน นำโดยสองฝาแฝด ฝันดี-ฝันเด่น จรรยาธนากร พร้อมด้วยอาสาบรรเทาสาธารณภัย ได้ร่วมกันนำเครื่องสูบน้ำแบบหาบหามจำนวน 8 เครื่อง เข้าระดมสูบระบายน้ำที่ท่วมอยู่ภายในวัดกิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่มีปริมาณน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร ซึ่งปริมาณน้ำที่ท่วมสูงกว่า 1 เมตร นั้นได้ไหลทะลักเข้าไปท่วมภายในโบสถ์และวิหาร ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวมาจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องเมื่อกลางดึกเมื่อคืนนี้ ทำให้ปริมาณฝนจำนวนมากร่วมทั้งน้ำในคลองบัวใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหลังของวัดได้เอ่อสูงขึ้นมา ไหลทะลักเข้ามาตามท่อระบายน้ำของวัด
นายรัชพล ทองดี มัคทายกของวัด ได้เล่าว่า ปริมาณน้ำดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อกลางดึกเมื่อคืนนี้ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ปริมาณน้ำฝนเข้าท่วมขังภายในโบสถ์และวิหารของวัดกิ่งแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนกิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งโบสถ์และวิหารของวัดกิ่งแก้วแห่งนี้ได้จดเป็นโบราณสถาน ทางวัดจึงพยายามสูบน้ำออกอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาโบราณสถานไว้ และจากการตรวจสอบพบว่ามีปริมาณน้ำได้ไหลทะลักเข้าไปท่วมในโบสถ์สูงประมาณ 20 เซนติเมตร เกรงว่าความเสียหายจะเกิดกับโบสถ์ เพราะโบสถ์เป็นโบราณสถานที่มีอายุมายาวนานหลายสิบปี
ด้าน นายฝันเด่น จรรยาธนากร หรือ เล็ก ได้กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองโดยเมื่อครั้งแรกเมื่อประมาณ 3 วันที่แล้วก็ได้รับแจ้งมาเรื่องของน้ำเข้ามาท่วมในวัดกิ่งแก้วแห่งนี้ ซึ่งทีมงานของตนได้เดินทางมาถึงประมาณบ่ายโมงของวันนั้น ก็สู้กันจนถึงประมาณเที่ยงคืนซึ่งน้ำก็แห้งเป็นปกติ ทั้งโดยรอบวัดและโบราณสถา มีการวางกระสอบทรายกั้นไว้ให้เรียบร้อย
แต่เมื่อเช้าวันนี้ ประมาณ 8 โมงเช้า ก็ได้รับรายงานมาว่าน้ำได้ไหลทะลักเข้ามาท่วมวิหารอีกแล้ว เนื่องจากเมื่อคืนนี้มีฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นในลำคลองที่ติดอยู่กับด้านหลังวัด และผนวกกับทางด้านหน้าที่เราเคยวางถุงทรายกั้นไว้ ได้มีการรื้อออก มันก็เลยทำให้น้ำทะลักเข้ามาและตัวไดโว่ดูดน้ำของวัดเองก็เสีย มันก็ทำให้เป็นอย่างที่เห็น น้ำไหลทะลักเข้ามาเต็มพื้นที่ซึ่งปริมาณน้ำมากกว่าครั้งแรก ครั้งแรกปริมาณน้ำสูงประมาณครึ่งหน้าแข้ง แต่วันนี้น้ำสูงมาถึงเอวก็ประมาณ 90 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร ในบางจุด เพราะภายในวัดเป็นพื้นที่ลาดเอียง ครั้งแรกที่มาน้ำยังไม่เข้าไปในตัวพื้นของโบสถ์และวิหารแค่ปริ่มๆ ขอบประตู แต่ครั้งนี้น้ำเข้าไปในวิหารและโบสถ์แล้ว สิ่งที่น่ากังวลก็คือว่าทางมัคนายกก็อยากให้เราเร่งระบายน้ำออกเพราะด้านในของวิหารก็เป็นโบราณสถาน แต่ตนก็ยังไม่ได้เข้าไปเห็นแต่เขาบอกว่าพื้นมีการปูกระเบื้องต่าง ๆ เป็นแบบโบราณซึ่ งเราก็ดำเนินการตามแผนคือลองสูบน้ำออกด้วยเครื่องสูบน้ำแบบหาบหามของอาสาสมัครที่มีทั้งหมด 8 ตัว ลองสูบดูก่อนตั้งแต่บ่าย 3 โมงถึง 4 โมงน้ำมันลดลงมาประมาณ 10 เซนติเมตร
แต่มันมีเงื่อนไขเกิดขึ้นคือมันมีปริมาณน้ำเติมเข้ามา ซึ่งก็เหมือนครั้งที่แล้วปริมาณน้ำที่เติมเข้ามาจากคลองที่อยู่ด้านหลังวัด ซึ่งมีท่อระบายน้ำที่วางลอดใต้โบสถ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีฐานสูงกว่าโบราณสถานทั้งสองหลังนี้ น่าจะมีช่องทางระบายน้ำเชื่อมต่อกับคลองจึงทำให้มีปริมาณน้ำเข้ามาเติม เราสูบไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง และหยุดพักเครื่อง 10 นาที เพื่อรอดูเวลาน้ำที่สูบออกไปประมาณ 10 เซนติเมตร แต่พอเราพักเครื่อง 10 นาทีกลับมาปริมาณเติมเข้ามาเท่าเดิม นั้นหมายความว่าที่เราทำไปเสียเปล่า ซึ่งใจเราก็หวังว่าจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในวันนี้ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะโดยรอบที่เกิดขึ้น
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือเรื่องบุคลากรและกำลังพล ที่จะช่วยกันเติมเรื่องกระสอบทรายเพื่อทำบังเกอร์ ซึ่งตอนนี้ทรายมีอยู่ 2 กอง เท่าที่ประเมินดูน่าจะใช้กระสอบทรายอย่างต่ำต้องมีประมาณ 500 ถุง เพื่อวางเป็นบังเกอร์ตามขอบต่าง ๆ ให้ได้เพราะว่ามันสูงประมาณ 70 เซนติเมตร ได้ในการซ้อนกันเป็นสองชั้นเพราะว่าแรงน้ำมันมีมหาศาล คือตอนนี้เราทดลองประเมินเดินเครื่อง 1 ชั่วโมงให้จบ และลองดับเครื่องดูว่าจะมีปริมาณที่เข้ามาเติมเป็นอย่างไร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือแต่อย่างไร มีแต่อาสาสมัครเข้ามาช่วยเหลือกันเท่านั้น
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ